fbpx

10 เดือนของ LAZ1 กับความในใจที่พวกเขาอยากจะบอก

เมื่อเรากล่าวถึงไอดอลที่ประสบความสำเร็จ ชื่อของ LAZ1 จะต้องเป็นหนึ่งในชื่อที่ติดอยู่ในใจของคนฟังไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เพราะด้วยความสามารถและการพัฒนาตนเอง ทำให้สามารถพิสูจน์ได้ถึงการเติบโตที่เกิดขึ้นจากวันแรกสู่วันนี้ วันที่ LAZ1 มีเพลงลำดับที่ 3 ในชื่อเพลง “ไม่ตอบเลยน้า (WHAT’S THE MATTER?)” อีกเพลงที่พวกเขาได้มีส่วนร่วมต่างๆ เป็นอย่างมากมายนั่นเอง

The Modernist เราเคยสัมภาษณ์พวกเขาทั้ง 5 คน ในวันแรกหลังจากจบรายการ LAZiCON ทางช่องวัน 31 และได้รับผลการตอบรับที่ดีมากๆ วันนี้เราจึงกลับมาอีกครั้งในรอบ 10 เดือน เพื่อมาสัมภาษณ์ถึงการเติบโตจากวันแรกที่เพิ่งออกจากรายการ สู่วันที่ได้เป็นศิลปินเต็มตัว ตลอดจนเรื่องราวของแต่ละผลงาน และความในใจที่เขาอยากจะบอกกับเพื่อนๆ ในวงและแฟนคลับของพวกเขา และแน่นอนว่ารอบนี้เราเจอพวกเขาทั้ง 5 แบบพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็น ออฟโรด-กันตภณ จินดาทวีผล, ไดร์ม่อน-ณรกร ณิชกุลธนโชติ, เจลเลอร์-กฤติมุก จันทร์ชื่น, เป็นต่อ-จีรภัทร พิมานพรหม และ ต้าห์อู๋-พิทยา แซ่ฉั่ว บอกได้เลยว่างานนี้สนุกสนานแน่นอน

และอย่าลืมเตรียมทิชชู่ไว้ให้ดี บทสัมภาษณ์นี้มีน้ำตาด้วยนะ

แนะนำเพลงลำดับที่ 3 หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง

ต้าห์อู๋: เพลงที่ 3 ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ฟังง่ายนะครับ กับชื่อเพลงที่มีชื่อว่า “ไม่ตอบเลยน้า (WHAT’S THE MATTER?)” แนวคิดเพลงมันเริ่มมาจากที่ เราอยากได้อะไรที่มันเป็นแบบว่า เพลงที่วัยรุ่นกำลังคุยกันอยู่ เรื่องอะไร มันก็เลยเกิดการขึ้นมาว่า chit-chat ซึ่งตัวคีย์เวิร์ดนี้อ่ะครับ เป็นพี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) ที่ กับ พี่โดม The Star (จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม) เป็นผู้บริหารค่าย LIT ENTERTAINEMNT เป็นคนคิดออกมา กลายเป็นโปรดิวเซอร์ของเรานั่นเอง ซึ่งเนื้อหาในเพลงก็จะเป็นเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ร่วมของใครหลายๆ คนที่เคยเกิดขึ้นมา ก็เลยคิดว่าตรงนี้จะเข้าใจได้ง่าย แล้วก็เลยเกิดมาเป็นเพลงนี้ครับ

ออฟโรด : แต่ว่าสิ่งที่พิเศษเข้ามาก็คือในเรื่องของเอ็มวี เพลงนี้เราก็จะมีแบบว่าเป็นการเล่าเรื่องแบบ Story ที่เป็นแบบว่ามีความเป็น Comedy เข้าไป และก็ความเป็น LAZ1 เข้าไปด้วย แล้วก็อีกอย่างนึงคือ เขาก็จะมีแบบว่ามีนางเอกเอ็มวีด้วย เป็นเพลงแรก จริงๆ เราก็ได้มีส่วนร่วมในการเลือกด้วยว่าจะเอาใครด้วย

LAZ1 Debut มาเกือบ 10 เดือน เป็นอย่างไรบ้าง

เจลเลอร์ : 10 เดือนที่ผ่านมาก็หลายๆ อย่างมันเติมเต็มมากๆ เลย อย่างหนึ่งก็คือการทำงานมันเยอะขึ้นจากปกติ เราเป็นเด็กว่างๆ คนนึงไม่ได้ทำอะไร ก็ตั้งแต่สิบเดือนที่ผ่านมาทำงานตลอดเลย มันก็สอนอะไรเราหลายๆ อย่าง ทั้งในเรื่องของวินัยการทำงาน ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าต้องดูแลตัวเองมากขึ้น หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป แฟนคลับเพิ่มขึ้น ทุกอย่างเพิ่มขึ้น ทำอะไรก็ต้องคิดให้มากขึ้น ก็รู้สึกว่าโตขึ้นอีกระดับนึง ก็ยังมีอะไรให้ค้นหา ให้เติบโตเรียนรู้ได้อีก

เป็นต่อ : คิดว่าเราทั้ง 5 คนเติบโตในทุกๆ ด้านเลย บางครั้งอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เราไดฝึกซ้อม ฃในด้านของทักษะมากขึ้น ซึ่งก็คือการเต้นการร้อง เราได้ซ้อมได้พัฒนาขึ้นทุกวันอยู่แล้วในช่วงระยะเวลา 10 เดือนตั้งแต่เดบิวต์มา ส่วนเรื่องของการทำงานเหมือนกับว่าตลอดระยะเวลาการทำงานเรามีแบบ นอกจากทีมทำเพลงแล้วก็ยังมีทีมที่เป็นเหมือนลูกค้าต่างๆ ซึ่งเราสามารถทำงานร่วมกับเขาในทีมเบื้องหลัง เหมือนกับว่าได้เจอคนมากขึ้นได้ เหมือนกับเปิดสังคมกว้างมากขึ้น แล้วก็รู้จักวิธีการทำงาน วิธีการเข้าหาคนอื่นมากขึ้น

ไดร์ม่อน-ณรกร ณิชกุลธนโชติ

ไดร์ม่อน : ตั้งแต่ที่ผ่านมาก็น่าจะได้เรื่องทักษะ วินัย เรื่องระเบียบอะไรต่างๆ นะครับ และก็มีเรื่อง connection ต่างๆ กับผู้คนมากมายในทั้งข้างในและก็ข้างนอกด้วย ที่แบบอยู่ในวงการ ก็ตอนนี้ผมยงกระหายที่จะเรียนรู้ว่าแบบ เต้น ร้อง ก็ยังอยากที่จะทำงานเพิ่มเติม เพิ่มทักษะให้ตัวเองครับ

ออฟโรด : ก็รู้สึกว่า 10 เดือนที่ผ่านมาให้อะไรเราหลายๆ อย่าง แบบทักษะที่เราได้เพิ่มขึ้น ได้ประสบการณ์ ได้แบบทำให้เราโตขึ้นด้วย แล้วก็รู้สึกว่าพออยู่จุดนี้ เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราอยากจะทำอะไรแล้วแบบว่าไปถึงแล้ว Beyond ไปมากกว่านี้ ต้องฝึกให้มากกว่านี้ แล้วเรารู้สึกว่าตัวเราเองก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย ที่แบบฝึกมาแบบตลอด อยู่กับสิ่งที่เราอาจจะใช้คำว่าเราไม่ถนัดเลยมากกว่า แต่ว่าเรารู้สึกว่าสุดท้ายแล้ว พอเป็นงานหรือเป็นอะไรเราก็อยากจะเก่งขึ้น มันก็ทำให้เราอยากที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และอยากแตกต่างจากตอนที่ยังไม่ได้ฝึกอยู่ อันนี้เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้แบบว่าทุกๆ เวทีหรือในทุกๆ เพลงที่มันเหมือนแบบเป็น Step ในการที่เราโตขึ้น อยากจะทำให้ดีขึ้นกว่าไปเรื่อย ๆ

ต้าห์อู๋ : 10 เดือนที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ก็รู้สึกว่าอย่างที่เพื่อนๆ บอกไปแหละครับว่า ไม่ว่าจะเป็นทักษะภายในมันก็เปลี่ยนไปเยอะมากๆ แล้ว การทำงานมันค่อยๆ หลอมให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้นครับ เพราะว่าเรามาอยู่ตรงนี้มันมีคนที่คาดหวังจากเราว่าจะเป็นยังไง แต่ว่าในขณะเดียวกันตัวเราเองก็เรียนรู้ที่จะปรับแล้วก็ยังคงหลงเหลือความเป็นตัวเองอยู่ แล้วมันก็ยังทำให้เราแบบว่ามีแรงบันดาลใจมากขึ้นในการที่มาอยู่ตรงนี้ มันทำให้รู้ตัวเองมากขึ้นว่าตอนนี้เราเป็นอะไร หน้าที่ของเราคืออะไร เส้นทางข้างหน้าต่อไปของเราจะเป็นอย่างไร เรากำลังเลือกเองได้ เราก็กำลังเดินไปสู่เส้นทางที่แบบว่าเราอยากจะไปให้ถึงจริงๆ เหมือนเราได้มาถึงประตูของฝัน และได้เปิดประตูแต่ว่าเส้นทางต่อไปมันก็ยังเป็นอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งระหว่างทางก็คือพัฒนาตัวเองต่อไป และก็ยังรู้สึกว่ายังอยากให้มีเวลาได้แบบเต็มที่กับตรงนี้อยู่ ซึ่ง 10 เดือนมันก็ผ่านไปค่อนข้างเร็ว แต่ว่าในอนาคตไม่ว่าเส้นทางจะเป็นยังไง ผมก็คงยังรักในเสียงเพลงและก็ดนตรีแบบนี้ต่อไป

ออฟโรด-กันตภณ จินดาทวีผล

ออฟโรด : ผมอยากเสริมของผมที่พูดไปว่า ผมรู้สึกว่าเวลาเรามีน้อยหมายถึงว่าวง 1 ปี อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ในรายการ คือผมจะเป็นคนที่อยากทำโชว์ออกมาแล้วแบบให้แบบผลงานมันดีที่สุด ซึ่งผมรู้สึกว่า LAZ1 เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ดีมากๆ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ ในการทำให้เราแบบก้าวผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปได้ในหลายๆ ด้าน ผมรู้สึกว่าอยากจะทำผลงานตรงนี้ให้เต็มที่ที่สุดและดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะเรามีแค่ปีเดียว แล้วก็อยากจะแบบทำงาน ณ ตรงนี้กับเพื่อนอีก 4 คน เหมือนอีกสิบปีข้างหน้าผมย้อนกลับมาดูผลงานแล้วแบบภูมิใจทุกครั้งที่ตอนนั้นเราผ่านมาได้แล้วแบบรู้ว่า กว่าจะมาถึงตรงนี้เราเจออะไรและก็มีใครอยู่ข้างๆ บ้าง

รู้สึกยังไงที่พี่ต้าห์อู๋ต้องเข้ากรมในไม่นานนี้

ออฟโรด : ก็รู้สึก ตอนแรกคือมีความรู้สึกใจหาย ตรงที่ว่า ณ ตอนแรกที่รู้เลยนะ รู้สึกใจหาย ตอนนั้น Video Call อยู่กับพี่เจลอยู่กับ ที่รู้พร้อมกันเลยก็รู้สึกว่าใจหายเพราะว่าเรารู้สึกว่าทำไมโชคชะตาเขาถึงเป็นอย่างงี้ เรารู้สึกว่าเราอยากให้เขาไม่มีอะไรมากั้นตรงนี้ เหมือนอยากให้เขาไปแบบ นี่คือสิ่งที่เขาพยายามมาโดยตลอด อยากให้เข้าแบบไปโดยที่ไม่มีมาฉุดลงไปเลยครับ อยากให้แบบขึ้นเป็นกราฟขึ้นไปเลย แล้วเรารู้สึกว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันทำอะไรไม่ได้สิ่งที่ผมทำก็คือว่าผมจะแบบคอยให้กำลังใจเขาและรู้สึกว่าเราควรให้กำลังใจมากกว่า เติมเต็มมากว่า ให้เขาเข้าไปแล้ว อยากให้เขาแบบพร้อมจริงๆ ทั้งจิตใจและก็ร่างกายด้วยครับ

เป็นต่อ-จีรภัทร พิมานพรหม

เป็นต่อ : จริงๆ เรื่องตอนที่รู้ว่าพี่อู๋จะต้องเข้ากรมก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เพราะว่าก็สนิทกันมานั่งทำงานด้วยกัน เพราะฉะนั้นรู้มาสักพักนึงแล้ว ซึ่งตอนที่รู้จริงๆ ก็ค่อนข้างช็อคเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดฝันที่จะเกิดขึ้นเหมือนกันด้วยว่ามันค่อนข้างกะทันหันกับเรื่องนี้ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าพี่อู๋เป็นเซฟโซนของพวกเราทั้งสี่คนด้วยในกลุ่ม เหมือนกับว่าการที่มีพี่อู๋อยู่ตรงนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าสบายใจ ไม่ว่าจะการไปสัมภาษณ์สื่อ ไม่ว่าจะเป็นไปทำงานหรือว่าขึ้นคอนเสิร์ตต่างๆ การที่มีพี๋อู๋อยู่มันดีมากๆ เพราะฉะนั้นพอมันรู้สึกว่าหลังจากนี้หรือว่ามันมีช่วงเวลาที่เราจะต้องไปกันสี่คนโดยไม่มีพี่อู๋หรืออะไรอย่างงี้ มันก็จะรู้สึกแบบเคว้งคว้างนิดนึง เหมือนขาดอะไรไป แต่พอเวลามันผ่านไปแล้วสักพักนึงช่วงนี้มันก็แบบเหมือนเราก็ปรับตัวด้วย ตอนนี้มันก็เลยเป็นอีกมูดนึงที่เหมือนกับว่าคอยให้กำลังใจพี่อู๋เหมือนกัน ว่าหลังจากนี้ก็อยากให้แบบทุกอย่างมันผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนตัวเราทั้งสี่คนก็พัฒนาตัวเองเหมือนกันเพื่อแบบเหมือนกับไปทำในส่วนของในช่วงเวลาที่พี่อู๋ยังไม่ได้กลับมาหรือไรงี้

พี่ต้าห์อู๋รู้สึกยังไงบ้างกับการที่จะต้องจากลาน้อง ๆ ไป

ต้าห์อู๋ : คือผมรู้สึกว่าหน้าที่มันก็คือหน้าที่ ไม่ว่าเราจะอยู่ในเวย์ไหน สมมติว่าเราเป็นศิลปินเราก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ มีงานที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนที่ต้องรับผิดชอบคือการซ้อมให้ดีเหมือนกันแต่ว่าหน้าที่บางอย่างที่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้มันก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน เราก็ต้องไปทำให้มันเสร็จทำให้มันดี แต่ถามว่ารู้สึกยังไงก็คงไม่รู้สึกเสียใจอะไร เพราะว่าเราก็รู้สึกว่าเราแอบเสียดายเล็กๆดี กว่าที่ไม่ได้อยู่ให้มันแบบครบ เพราะว่าด้วยระยะเวลาของพวกเรามันมีจำกัด แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมากับเพลงทั้งหมดที่มีทั้งหมด ก็คงไม่เสียใจแล้วเพราะว่าก็รู้สึกว่าได้ทำมันเต็มที่แล้ว ตัวเราเองในอีกสองเดือนที่เหลือครับ ที่ตัวเราไม่อยู่ด้วยไปฝึกด้วยกว่าจะกลับมา แต่ผมเชื่อว่าน้อง ๆ ก็สามารถควบคุมทุกอย่างได้อยู่เพราะว่าเราเองก็เห็นความสามารถของน้อง ๆ มาแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวว่าอะไรจะขาดหายไป เพราะว่ายังไง LAZ1 ก็คือ LAZ1 อยู่ดี

คิดว่าวันนี้ตัวเองประสบความสำเร็จในวงการ T-Pop แล้วรึยัง

ต้าห์อู๋ : ผมยังรู้สึกว่าต้องถามว่าแล้วความสำเร็จพี่วัดจากอะไร ถ้าวัดจากชาร์ท วัดจากยอดวิว ผมรู้สึกว่ายังไม่ประสบคามสำเร็จถ้าพูดกันตามสถิติและก็ตามตรง แต่ว่าถามว่า ณ จุดที่เราเป็นศิลปิน T-Pop เรารู้สึกว่าเราค่อนข้างสำเร็จแล้วเพราะว่าเรามีฐานแฟนคลับที่ค่อนข้างแน่นมาก เราเชื่อเลยว่าแบบเราโตมาจากรายการ LAZiCON อ่ะครับ และก็ซึ่งรายการ survivor ตรงนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งในจุดเริ่มต้นของเราที่มาอยู่ในวงการ T-Pop แล้วเรารู้สึกว่าฐานแฟนคลับเราแน่นมากๆ เราประสบความสำเร็จในแบบที่เราเป็นศิลปินมีคนติดตาม มีกลุ่มติดตาม ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ไปถึงขึ้นแมสก็ตาม แต่ว่าตรงนั้นเราก็ค่อนข้างที่จะภูมิใจในนามของเราทั้ง 5 คนที่เป็น LAZ1

ต้าห์อู๋-พิทยา แซ่ฉั่ว

เจลเลอร์ : เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในด้านที่เราเป็นส่วนนึงที่เริ่มทำให้คนเริ่มกลับมาฟัง T-Pop มากขึ้นด้วย อีกหนึ่งอย่างคือเรารู้สึกว่าในช่วงที่เรามามันเป็นช่วงที่เหมือนแบบว่า T-Pop กำลังกลับมาพอดีแล้วคนก็เริ่มกลับมาสนใจ T-Pop เราก็รู้สึกประสบความสำเร็จในด้านนี้เหมือนกันที่ หลายๆคนเริ่มมีคนสนใจ T-Pop มากขึ้น เริ่มให้พื้นที่กับ T-Pop มากขึ้น เริ่มมีงานต่างๆ มาให้ T-Pop ได้มีพื้นที่ตรงนี้ในการเปิดออกมาเรื่อย ๆ ครับ

เป็นต่อ : อยากจะเสริมในส่วนตรงนี้เหมือนกันเพราะว่าถ้าว่าในเรื่องของการทำยอดวิว จริงๆ ยังรู้สึกว่ายังประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ว่าอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่เป็นอันดับ 1 หรือว่าในส่วนต่างๆของ T-Pop แต่ว่าถ้าพูดในอีกแง่นึงอย่างที่พี่ทั้งสองคนบอกก็คือเรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในส่วนของการที่เราเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันวงการ T-Pop

ไดร์ม่อน : ถามว่าประสบความสำเร็จแล้วรึยัง สำหรับของตัวผมเอง ส่วนตัวผมเองคือยังครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่ายอดวิวมันตัดสินอะไรไม่ได้หรอก

เจลเลอร์-กฤติมุก จันทร์ชื่น

ออฟโรด : ก็ถ้าในเรื่องของความสำเร็จผมคิดว่า เราสำเร็จแล้ว สำเร็จในที่นี้คือเราได้ทำอะไรในสิ่งที่เราไม่เคยได้ทำ ได้ทำหลายๆ อย่างที่กับเพื่อนทั้งสี่คนที่ร่วมเดินทางมาในฐานะศิลปินวงเดียวกัน รู้สึกมันสำเร็จละ แต่ว่าในเรื่องของผลงานหรือว่าอะไรผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แบบว่าเราสามารถกลับมาดูได้แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่ติดอะไร เรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จไปแล้ว แล้วเรารู้สึกว่านั่นแหละคือผลงานที่อีกกี่ปีเราก็สามารถกลับมาดูได้ ผมว่านี่แหละคือ LAZ1 ครั้งนึงเราเคยเป็นสมาชิกวง LAZ1 นะ นั่นแหละผมรู้สึกว่าสำเร็จแล้วสำหรับผม

มีคนชมว่าวงนี้ Vocal แข็งมาก รู้สึกยังไงกับคำชมคำนี้ครับ

เป็นต่อ : จริงๆ เราดีใจนะฮะเราดีใจในทุกคชมอยู่แล้วที่เราได้รับ มันเป็นการได้รับการยอมรับในด้านด้านนึงละกัน จากคนที่ติดตามผลงานของเราหรือว่าคนที่ได้ฟังเพลงของเราอ่ะ มีบางคนอาจจะไม่เคยรู้จักเรามาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าพอมาฟังแล้วมันก็เหมือนกับเป็นความประทับใจแรกพบให้เขา เห้ย วงเราร้องเพลงเก่งจัง วงเราโวคอลดีจัง เราก็เลยรู้สึกว่าดีและชื่นชมกับคำชมแบบนี้ แต่ว่าถ้าถามว่าอยากได้คำชมอื่นมั้ย ก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้พัฒนาในด้านการร้องเพลงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราแสดงออกไปทั้งการเต้น การร้อง การแร็พ การ perform หรือว่าการแสดงทุกสิ่งทุกอย่างเรารู้สึกว่าเราเต็มที่กับทุกๆ อย่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราดีใจกับคำชมที่ได้รับแล้วก็ เราคิดว่าทุกคนน่าจะมองเห็นในด้านอื่นๆของเราด้วยเหมือนกัน

ไดร์ม่อน :  ผมก็ดีใจครับที่คนเห็นว่าวงเราเป็นวงโวคอล  แล้วก็แบบเหมือนเขาก็ตีว่า วงเรามันอาจจะแบบได้ดีแค่ร้องรึเปล่า แต่จริงๆ แล้วเราก็พยายามที่จะพัฒนาให้คนชมเป็นอย่างอื่นด้วย ที่ไม่ใช่แค่ร้องอย่างเดียว

ต้าห์อู๋ :  อย่างที่บอกไปครับก็จริงๆวงเรามีศักยภาพด้านร้องค่อนข้างสูง ก็สูงจริงครับ เพลงสูงมาก  ก็คือจริงๆ ผมไม่อยากให้คิดว่าเพลงสูงก็เลยร้องเก่ง เพลงสูงใครๆ ก็ร้องได้ แต่ว่าอย่างในวงเองก็จะมีไดร์ม่อนที่มีเนื้อเสียงพิเศษ เป็นต่อที่มีเทคนิคการร้องเฉพาะตัว เสียงเจลเลอร์กับออฟโรดเองที่เป็นเสียงในโทนที่แบบเป็นเสียงเทนเนอร์สูงที่มันไม่ได้หากันง่ายๆ ในทุกคน ผมก็คงชมตัวเองไม่ได้ แต่ว่าผมก็เป็นคนที่มีความพยายามด้านการร้องมาแบบ 20 ปีครับ ก็เลยรู้สึกว่าพอมันมารวมกันอยู่ 5 คนมันเลยเห็นไปทางด้านหนึ่งแบบชัดเจน ซึ่งผมก็รู้สึกว่าคนไม่เคยมาด่าว่าวงนี้เต้นทุเรศอะไรแบบนี้ เลยรู้สึกว่าเรายังอยู่ในมาตรฐานนึงอยู่แล้ว แต่ว่าแค่มันเด่นออกมาด้านนึง ก็รู้สึกดีใจที่แบบมีคนเห็นแบบอย่างน้อยมันมีอะไรให้จับ แล้วก็ได้ไปต่อก็เลยรู้สึกว่าดีใจและก็ขอบคุณ แล้วก็ยังคงพัฒนาต่อไปในทุกๆ เพลง

ออฟโรด : ก็อย่างที่ทุกคนพูดไปบอกว่าถามว่าดีใจมั้ย ดีใจนะครับที่อย่างน้อยเขาก็เห็นจุดเด่นของเรา เหมือนเห็นว่าต้มยำแซ่บจัง อร่อยลงตัว แต่อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่มีแค่เผ็ด เราก็เหมือนกัน เราก็ไม่อยากให้ทุกคนดูเราแค่ในด้านของการร้องแต่ว่าสุดท้ายแล้ว อย่างที่บอกไปครับ แบบ LAZ1 ทุกคนก็คือตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเพื่อที่จะทำงานออกมาให้ดีที่สุด เพื่อที่สักวันนึงมันจะสามารถพิสูจน์ให้คนเห็นได้ว่า เออ นี่แหละผลงานออกมาแล้วมันว้าวมันดีจริงๆ ให้ทุกคนยอมรับนั่นแหละครับ

ให้เลือกสัก 1 คน บอกความใจในของเราถึงเขาหน่อย

ไดร์ม่อน : ผมก็อยากบอกพี่ออฟโรด อยากจะบอกว่าคือไม่อยากให้พี่เขาเครียดมากเพราะว่าด้วยแบบการทำงานมันค่อนข้างจะหนักด้วยและก็มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาค่อนข้างเยอะ แล้วแบบบางที่พี่เขาเอาทำงานหนักเกินไป ผมก็เป็นห่วงพี่แก ก็อยากให้พี่แกอย่าไปคิดว่าทำไม่ได้อยากให้พี่แกคิดว่าแบบพี่แกเก่งอยู่แล้วถ้าพี่แกไม่เก่วไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก ก็ไม่อยากให้เครียดครับ

เป็นต่อ : อยากพูดถึงพี่เจลละกัน จะบอกพี่เจลว่าจริงๆ ในตลอด 10 เดือนที่ผ่านมาอยากขอบคุณพี่เจลว่าตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้พี่เจลยังคงเป็นพี่เจลที่เป็นพี่ชายที่แสนดีตลอดเวลา มันเหมือนกับว่าเป็นพี่ที่พึ่งพาได้อยู่เสมอ แต่ว่าถ้ามีอะไรที่อยากจะบอก อยากจะบอกว่าอยากให้พี่เจลเห็นว่าเราเป็นเซฟโซนที่สามารถแสดงอะไรที่รู้สึกอัดอั้นตันใจได้มากกว่านี้ เพราะว่าเรารู้ว่าจริงๆ ในภายนอกที่แสดงออกมาว่าเป็นคนแบบชิว ๆ ในใจเขาคงมีอะไรแหละ ซึ่งแบบบางครั้งอ่ะมันก็มีแสดงออกมาแล้วเขาก็จะแบบขอโทษนะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคือมันปกติมากๆ ในแบบที่คนเรามันควรจะเป็นหรือว่ามันสามารถแสดงออกมาได้ เพราะฉะนั้นแบบเรารู้สึกว่าเราโอเคมากกับการที่จะเห็นพี่เจล extreme มากกว่านี้

เจลเลอร์ : พูดถึงออฟโรดละกัน คือเราอยู่กันมาค่อนข้างนานตั้งแต่เวทีแรกด้วยซ้ำ เจอมาตั้งแต่ก่อนเข้ารายการอีก นั่งคุยด้วยกัน เราค่อนข้างจะเป็นห่วงเขามากกว่าในเรื่องข้างการทำงานหลังจากนี้ ก็ไม่อยากให้ทำงานหนักเกินไป แล้วอะไรที่มันสามารถปล่อยไปได้ ออฟโรดลองปล่อยดู บางทีการที่เราคิดหนักเกินไป อันนี้มันอาจจะบอกไม่ได้ว่าต้องทำยังไงหรือแบบต้องใช้เวลานานแค่ไหน หรือบางทีออฟโรดอาจจะแบบไม่ได้ก็ได้ แต่ว่าคืออยากให้สบายใจลงหน่อยกับการทำงานบางอย่าง อยากให้ออฟโรดผ่อนคลายมากกว่านี้ เป็นห่วงทั้งในเรื่องของสุขภาพร่างกายและก็สุขภาพจิตด้วย เพราะถ้าทำได้ทุกอย่างก็จะ อาจจะไม่ถึงขนาดอีกคนแต่อาจจะเป็นอะไรที่ออฟโรดสบายใจตัวเองมากขึ้น

ต้าห์อู๋ : ก็คืออยากจะบอกเป็นต่อว่าตอนนี้เราก็รู้จักกันมา 2 ปีแล้ว ก็เห็นเป็นต่อ ถึงแม้จะเป็นคนที่นิ่งแต่ก็เป็นคนที่มีความพยายาม แล้วก็มีความที่รักในการทำตรงนี้มากๆ ก็ไม่รู้ว่าเส้นทางในอนาคตจะเป็นยังไง ก็อย่าทิ้งในสิ่งที่ตัวเองรัก ก็ยังอยากหาโอกาสให้ตัวเองอยู่ อย่าไปยอมแพ้กับมัน และก็ขอให้เส้นทางข้างหน้าเป็นเส้นทางที่ดี แล้วก็อยากจะบอกว่าเก่งมากๆ ตั้งแต่เห็นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มันคือแบบแทบจะคนละคนเลย เก่งมากๆ

ออฟโรด : ก็ถ้าอยากจะพูดถึง จริงๆ อยากขอบคุณเพื่อนๆทั้งสี่คนเลยครับผมรู้สึกว่าอยากขอบคุณที่เขาแบบว่าอยู่เคียงข้างผมมาโดยตลอด คือผมไม่ใช่แบบว่าไอ้สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือแบบพยายามด้วยตัวเองมากเลยครับ แต่แบบบางทีเราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง บางทีเราออกจากตรงนั้นไม่ได้ คือการที่มันเหมือนการคิดเรื่องนั้นอยู่ซ้ำๆ เดิม ๆ แต่ผมไม่สามารถหาทางออกมาได้ หลายครั้งที่เพื่อนๆ ก็จะแบบว่า ช่วยดึงออกมาจากตรงนั้นได้ แล้วรู้สึกว่าแบบ เอ้ย มันเหนื่อยนะพี่การที่เรารู้ทุกอย่าง รู้แต่ทำไม่ได้ รู้ทุกอย่างเลยว่าอยากทำอย่างนี้คิดแต่ก็ยังกลับไปคิดอยู่อีกอย่างวนอยู่เป็นวัน เป็นสองสามชั่วโมง จนเราเหนื่อยอะไรแบบนี้จนแบบไม่รู้จะทำยังไง บางทีที่แบบผมเงียบๆ บางทีผมก็ไม่อยากจะเป็นแบบนี้ เพื่อนๆ บอกว่าบางที่ผมเงียบๆ ไม่ค่อยคุยกับเพื่อน ผมกำลังจัดการกับความรู้สึกตัวเองอยู่กำลังพยายามทำตรงนั้นอยู่เหมือนกัน แต่บางทีมันไม่สามารถทำได้ ก็เลยแบบไม่รู้ต้องทำยังไง ไม่อยากทำให้รู้สึกแบบว่าฟีลในวง down ไปกับเราด้วย ไม่อยากให้เขามาเครียดกับเรา นี่คือสิ่งที่ผมพยายามมาโดยตลอดแล้วแบบ

แต่ถ้าอยากพูดกับอีกหนึ่งคนที่พิเศษมากๆ เลยก็คือ คืออยากพูดถึงพี่อู๋ เพราะว่าเขาเป็นคนเดียวในวงที่เห็นผมมาตั้งแต่แรก คือก็อยากจะบอกว่าที่แบบผมเป็นแบบนี้ ผมอยากบอกว่าคือผมอยากจะให้เขาเห็นว่าผมเก่งขึ้นนะ (ร้องไห้มากจนเริ่มหายใจไม่ทัน) อยากบอกเขาว่าแบบ ผมอยู่กับเขามาพี่แล้วแบบเขาคืออีกคนที่เติมเต็มให้ผมมาอยู่ตรงนี้ได้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าผมอย่างที่บอกเคยในสเตจ เขาให้โอกาสผมมาผมไม่อยากให้เขารู้สึกว่าต้องเป็นทำให้เขาดูแย่ ผมก็เลยเต็มที่กับงานมากๆ จนแบบบางทีกดดันตัวเองมาก overload มากๆ มาโดยตลอด คือจริงๆผมเป็นตั้งแต่ในรายการแล้วแต่ผมไม่เคยบอกใคร เก็บมาเรื่อย ๆ จนผมแบบหาทางออกมาไม่ได้ว่าแบบต้องทำยังไงวะ เลยให้ผมอาการแบบมันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แบบว่าเครียดเยอะขึ้นมาก ผมแบบกดดันตัวเองเยอะเกินไป ผมอยากจะให้เขาเห็นว่า เออ ผมทำได้นะ แบบมันดีขึ้นแล้วนะด้วยครับ ก็เลยแบบว่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเพื่อนในวงเองหรือว่าพี่อู๋เอง ไม่อยากไปทำให้ใครรู้สึกแย่ ผมจะพูดกับทุกคนเลยว่าผมไม่อยากทำให้ภาพรวมวงดูแย่ ผมเลยต้องแบบ มันก็เลยอาจจะแบบเป็นความที่ทำให้ผมไปกดดันตัวเองเยอะเกินไปด้วยครับ

ต้าห์อู๋ : ก็อยากจะบอกว่า ก็ยังคงพูดเหมือนอย่างที่พูดมาตั้งแต่อยู่ด้วยกันสเตจแรกว่าไม่มีใครคาดหวังในตัวออฟโรดให้เก่งเลยแต่ว่าสิ่งที่ได้เห็นตั้งแต่แรกของออฟโรดก็คือความพยายาม อยากให้เก็บความพยายามอันนั้นเอาไว้ พี่มองออฟโรดในมุมของความพยายามไม่เคยมองในมุมที่ทำไม่ได้ และก็ไม่เคยมองว่าไม่เคยมองถึงขีดจำกัดความสามารถของออฟโรดด้วย และก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่ออฟโรดทำไม่ได้ มันมีความรู้สึกตั้งแต่พี่เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงออฟโรดก็ทำได้ ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลามากกว่าคนอื่นก็ตาม เราเองก็เข้าใจมากๆเลยแล้วก็สิ่งที่เราจะบอกก็คงเหมือนเจลแหละว่า แบบอยากให้อย่าคิดแทนคนอื่น เพราะว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็เป็นคนที่รักออฟโรดทั้งหมดทุกคน แล้วก็อยากให้แบบเป็นตัวเองอยู่ เดินในทางนี้ให้มีความสุขที่สุด ไม่อยากให้แบบว่ากดดันตัวเองมากและก็นั่นแหละ อยากจะบอกว่าคนเห็นความพัฒนาไม่ใช่แค่เราแล้วแหละ แฟนคลับก็เห็นตั้งแต่วันแรกที่เต้นเหมือนกั้งดีดน้ำ (หัวเราะ) แต่ว่าตอนนี้คือเต้นได้แล้ว เต้นดีด้วย ทีนี้ก็อยากจะบอกว่าทุกคนเห็นถึงความพัฒนา ไม่มีใครเร่งออฟโรด แล้วก็คือแบบรู้สึกว่าการที่ออฟโรดได้มาถึงตรงนี้ออฟโรดก็ต้องขอบคุณตัวเองเยอะๆแล้วก็รักตัวเองมากๆ สิ่งคำคัญที่สุดคือต้องรักตัวเองแล้วก็จริงใจกับความรู้สึกของตัวเองว่าแบบวันไหนที่ไม่ไหวก็คือไม่ไหว ตอนไหนที่ยังทำไม่ได้ก็แค่หัวเราะออกมาว่าชั้นยังทำไม่ได้รอแป๊บนึงเธอจะรีบไปไหน ถ้าสมมุติว่ามีคนมาเร่งเราต้องทำให้ได้วันนี้ เราก็แค่ตอบไปว่ากรุงโรมสร้างไม่เสร็จภายในหนึ่งวันสองวันก็สร้างไม่เสร็จสามวันก็สร้างไม่เสร็จขอนอนก่อน เหนื่อย

ออฟโรด : อยากพูดเพิ่มถึงคนนึง คือไดร์ม่อน คือเค้าเป็นเด็กคนนึงที่โตมากๆ เลยนะ ด้วยหลายๆ อย่างมันออกมาจากข้างใน คือเค้าเป็นคนจริงใจกับสิ่งที่เค้าทำคือเขารู้ว่าเค้าอยากทำอะไร อยากเล่นเกมส์เค้าก็เล่น อยากทำนู้นก็ทำ คือเค้าแบบเป็นคนเหมือนมีบุญนะ แบบรู้สึกว่าไม่เครียดกับอะไรเลย ก็อาจจะมีแบบรู้สึกเครียดแหละ แต่ตัวเองโตเกินวัยจริงๆ แต่ไดร์ม่อนรู้สึกว่าเป็นคนที่โตแล้วเวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจเลย แล้วผมก็อยากบอกน้องเค้าตลอดว่าทำตัวให้สมวัยไม่ต้องรีบโตเพราะวันนึงเราก็โตอยู่ดี ในเมื่อเรายังเป็นเด็กอยู่อ่ะเป็นม่อนที่น่ารักแบบนี้ต่อไปอ่ะดีแล้ว เท่ห์ได้ในแบบของตัวเราเอง ไม่ต้องไปเหมือนใคร

ต้าห์อู๋ : พูดหน่อยดีกว่าอยากพูดถึงน้องเหมือนกัน ก็ยังคงมองม่อนเป็นเด็กคนนึงอยู่ดี เป็นเด็กที่เก่ง มีความสามารถ มีโอกาส มีต่างหู มีสร้อย มีสไตล์ มีเสียงที่หล่อ มีหน้าตาที่หล่อเหลา เพราะฉะนั้นก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองมีให้ได้ว่าเพราะฉะนั้นโอกาสมันก็จะวิ่งเข้ามาเยอะ มันก็อยู่ที่ว่าเราจะเปิดรับโอกาสที่อยู่ข้างหน้าของเราอย่างไร เราพร้อมกับมันมากแค่ไหน จริงๆ จะบอกว่าก็ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองด้วย ถ้าเหนื่อยก็หยุด แต่ว่าถ้าเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่สำคัญมากๆ แล้ว เราอายุแค่นี้ยังมีโอกาสเยอะกว่าคนอื่น ถ้าอยากจะคว้าก็ใส่ไปเลย ทุ่มให้สุดตัว อย่างที่ม่อนบอกว่าม่อนกระหาย แต่ถ้าเหนื่อยก็ต้องหยุด แต่อย่างที่บอกว่าต้องซื่อสัตย์ ไม่อยากให้ทำแบบทั้งทำทั้งเหนื่อย มันจะกลายเป็นจับปลาสิบมือ แชร์ความรู้สึกออกมาได้อย่าเก็บมันเอาไว้ในใจมันจะอยู่ได้ไม่นาน

ไดร์ม่อน : แต่จริงๆ ผมก็มานึกย้อนนะว่าจริงๆแล้วผมก็เข้าวงการเร็วด้วยแหละ คือผมทำตัวเหมือนอายุเยอะแต่จริงๆ ผมก็ยังเป็นเด็กอยู่ ยังคงเป็นเด็กอยู่ กลับบ้านผมก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ แล้วผมก็พึ่งอายุ 17 เอง ทำไมผมถึงไม่มีเวลาไปเที่ยวกับเพื่อน มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินข้าวแบบอร่อยๆ เพราะมันต้องทำงานตลอดผม ก็รู้สึกว่ามันจะมีช่วงเวลาที่ขาดหายไป แต่มันก็ต้องมีการเดิมพัน ผมเข้าใจว่าถ้าการที่มาอยู่ตรงนี้แล้วมันค่อนข้างที่จะต้องแลกกับอะไร ถ้าสมมติเราอยากจะเป็นศิลปินเราก็จะไม่มีชีวิตเหมือนคนอื่นเขา เราก็จะต้องมาอยู่ในโลกศิลปิน นั่นก็คือตัวผมเอง แล้วตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะเหนื่อย แต่ผมก็จะพยามพูดกับตัวเองว่าผมเก่ง มันจะมีเด็กอายุ 17 ที่ไหนที่ทำงานหนักขนาดนี้ ผมก็คิดแบบนั้นกับตัวเองมันก็จะได้มีแรงผลักดันให้กับตัวเอง

มีอะไรอยากบอกกับแฟนคลับมั้ย

เป็นต่อ : จริงๆ มันเป็นคำที่เราพูดกันตลอดอยู่แล้วในตลอดระยะเวลาที่เรารู้จักกันมา ก็คือขอบคุณครับ มันไม่รู้จะพูดคำอื่นที่แทนคำว่าขอบคุณได้ยังไง เพราะว่าเรามาถึงตอนนี้ได้ก็เพราะมีแฟนคลับทุกๆคน เราผ่านรายการมา เราผ่านการ Debut มาเป็น LAZ1 ทั้ง 5 คน ก็เพราะแฟนคลับ เสียงแรง เสียเวลา เสียกำลังโหวตมาให้เรา และรวมมาถึงตลอดระยะเวลาหลังจากที่เรา Debut ด้วย เราออกผลงานเพลง ออกผลงานต่างๆ รวมถึงได้เป็น Presenter อะไรต่างๆ คือทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนเราในทุกๆ ด้านอยู่แล้ว ทั้งพาตัวเองมางานคอนเสิร์ต มาส่งเสียงกรี๊ด ส่งแรงเงินแรงเชียร์แรงกายแรงใจทุกสิ่งทุกอย่างมาสนับสนุนเราตลอด รวมถึงคำพูดดีดีที่สิ่งมาใน Comment หรือในทาง Social ต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการมีอยู่ของเขาทำให้มีการมีอยู่ของเราจนถึงทุกวันนี้ เขาชอบบอกเราว่าเราเป็นเซฟโซนของเขา แต่จริงๆ แล้วเขาก็คือพื้นที่ปลอดภัยที่ดีที่สุดของเราอยู่ดี เพราะฉะนั้นอยากขอบคุณเขาแล้วก็อยากให้เค้าอยู่กับเราไปนานๆ

ต้าห์อู๋ : แล้วก็อยากเสริมอีกนิดนึงเหมือนกัน คือบอกรักกันจนเลี่ยนแล้วกับแฟนคลับ แค่อยากจะบอกว่าขอบคุณมากๆ มันมีหลายคนเลยที่ตามเราแบบหนักมากจริงๆ แล้วเรารู้สึกว่าอยากให้เขาพักบ้าง ขอบคุณที่มาหาและหาเวลาว่างมาหาตลอด ซึ่งเราอยากจะบอกว่าให้เขาพักผ่อนหาเวลาว่างให้กับตัวเองบ้าง ให้เวลากับตัวเองบ้าง สมมติถ้าเราชอบดอกไม้แล้วเราจะหันไปชอบสัตว์บ้างมันก็ไม่ผิด ซึ่งเรารู้สึกว่าหลายคนอาจจะกลัวว่าการที่เราจะไปฟังเพลงอย่างอื่น เราจะบอกว่าไม่ต้องกลัวเลยว่าในบางครั้งจะหายไปจากพวกเราบ้างแล้วก็กลับมาใหม่ แค่อยากจะให้รู้ว่ามีเราอยู่ตรงนี้ก็พอ ให้โอกาสตัวเองไปเจอสิ่งสวยงามอย่างอื่นบ้าง แล้วพอกลับมาก็จะได้รู้ว่าสิ่งนี้มันก็สวยงามมากอยู่แล้ว เหมือนเราเลี้ยงแมวเราไปเจอแมวที่อื่นเรารู้สึกน่ารัก แต่พอกลับมาเจอแมวตัวเองแมวเรายิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่

เป็นต่อ : อยากเสริมอีกนิดนึงในเรื่องของการพักผ่อน อาจจะไม่ได้พูดถึงให้ไปหาความชอบอื่นแต่จะหมายถึงการให้เวลากับตัวเองในการไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำหรือเช่นต้องทำอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นบางคนทำงานหรือกำลังเรียนอยู่ ก็ไม่อยากจะให้ทุกอย่างพุ่งมาที่เราอยากให้สมดุลเวลาของตัวเองและใช้ชีวิตของตัวเองด้วย สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง

ต้าห์อู๋ : ใช่ อย่างที่บอกว่าให้ตั้งใจเรียนเพื่อที่อนาคตจะได้มาเปย์เรา (หัวเราะ) อย่างที่บอกไปว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่จะต้องมาสนับสนุน เราก็เป็นกำลังใจให้

ฟังในรูปแบบเสียงสัมภาษณ์ได้ที่ด้านล่างนี้

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า