fbpx

เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ – ขอบคุณวงการบันเทิงที่สอนผมให้กลายเป็นคน (ที่ดี) แบบนี้ครับ

หากเราพูดถึงนักแสดงที่เป็นขวัญใจคนไทยมานัดต่อนัด ก็คงอาจจะมีหลายชื่อ แต่ถ้าหากพูดถึงนักแสดงที่ผ่านบทบาท “พระเอก” ที่หลากหลาย ชื่อของ “เจษ เจษฎ์พิพัฒ” คงเป็นหนึ่งชื่อที่ใครหลายๆ คนผุดขึ้นมาอย่างแน่นอน นอกจากการการันตีในผลงานทางการแสดงของเขาตั้งแต่สมัยเล่นละครกับทาง Exact ที่ททบ.5 จนวันนี้ที่เขาเติบโตมาอยู่ที่บ้านหลังเดิมแต่ใหญ่ขึ้นอย่าง “ช่องวัน 31” วันนี้เขาตกตะกอนและเรียนรู้ในหลากหลายเรื่องราว รวมถึงเขาพร้อมที่จะเติบโตในวงการนี้ด้วยการทิ้งสายงานการเงินที่เขาเรียนมาเป็นนักแสดงตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

แล้ววงการบันเทิงสอนให้เขาเรียนรู้อะไรบ้าง? และงานในวันนี้อย่าง “วิมานทราย” ละครอีกเรื่องที่เขาบอกได้เลยว่าเป็นบทบาทที่เขาชอบ และท้าทายมากจะเป็นอย่างไรต่อไป The Modernist จับเขามาคุยในวันนี้แล้ว

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

เรียนจบจากที่ไหนมาก่อน

ผมเรียนคณะบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พอเรียนจบก็ทำงานในวงการก่อน ก็ตัดสินใจว่าจะทำงานตรงนี้เลยโดยที่ไม่ได้ทำงานในสายที่เรียนมาเลย แต่ตอนเข้าวงการครั้งแรกเลย เข้ามาจากหนังของพี่พจน์ อานนท์ครับ ตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาครับ ไปเล่นเรื่องแต๋วเตะตีนระเบิด เรื่องนั้นพี่พจน์เขาอยากได้แก๊งผู้ชายเตะบอล ผมอยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เขาก็เลยไปหานักแสดงเด็กผู้ชายเยอะๆ ก็ไปหาที่โรงเรียนเลย พอเขาได้เรามาก็ไปเล่นหนังพี่พจน์ ก็มาเรื่อย ๆ ครับ ประมาณ 2-3 ปี ก็มีโอกาสได้มาแคสต์เป็น New Gen ที่เมื่อก่อนคือ Exact แล้วก็ได้มาอยู่ที่นี่ครับ

ได้ยินว่าตอนคัดเลือก Exact Next Gen คือหนักมาก คิดว่าอย่างนั้นไหม

ไม่นะครับ โดยส่วนตัวผมนะ วันนั้นผมได้เจอกับพี่ป้อน-นิพนธ์ ผิวเณร (ประธานเจ้าหน้าที่ผ่านละคร บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ) เรารู้สึกเป็นกันเองกับคนที่นี่ แล้วเขาก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้บริหารมาจากไหน เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่มาดูเรา มาพิจารณาเรา เราก็เล่นตามที่เราทำได้ครับ ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดียังไง แต่อีกวันหนึ่งเขาก็ติดต่อกลับมาให้เข้าไปเซ็นสัญญา

ทำไมถึงทิ้งสายงานการเงินจบมาเพื่อจะเข้าวงการนี้

เพราะว่าเรามีโอกาสได้ทำงานในวงการมาตั้งแต่มัธยม แล้วเราก็เริ่มมีความคาดหวังกับวงการนี้ว่าเรามีโอกาสซึ่งคนอื่นอาจจะไม่ได้ เรามีศักยภาพเรื่องรูปร่างหน้าตาที่มันพอจะทำงานตรงนี้ได้ ก็เลยมีความคาดหวังอยู่ พอได้เซ็นสัญญามันเหมือนเริ่มจริงจังว่ามันเป็นงาน มันไม่เหมือนตอนที่เราเล่นหนัง จบไปเรื่องหนึ่งก็ต้องวิ่งคัดเลือกงานอื่นต่อ อันนั้นมันดูไม่มีหลักไม่มีฐานชัดเจน แต่พอเราเป็นนักแสดงในสังกัด มันทำให้เรารู้สึกว่ามีสัญญาจริงจัง มีอะไรเป็นลายลักษณ์อักษร

คือตอนเรียนจบ ถ่ายละครไปแล้วเรื่องหนึ่งครับ เรื่องเรือนเสน่หา ช่วงนั้นก็ช่วงเรียนปี 3 มันจะมีเพื่อนที่ไปฝึกงานในสายงานที่เรียนมา ซึ่งผมไม่ได้ไป เพราะติดถ่ายละคร แล้วเราก็รู้สึกว่าเพื่อนรู้เยอะกว่าเรา ก็คิดว่าถ้าเราไปทำสายงานแบบนั้น เราต้องไปวิ่งตามเขา ผมไม่ชอบวิ่งตามคนอื่น ไม่ชอบเริ่มทีหลัง มันเหมือนกับวงการบันเทิงคืออยู่เท้าขวา งานนั้นเท้าซ้าย เราก้าวเท้าขวาไปแล้ว ก็จะก้าวเท้าขวาเดินไปเส้นทางนี้ต่อไป ก็เลยเลือกแบบนี้ไปเลย

ตอนเด็กๆ มีความฝันไหมว่าอยากเป็นอะไร

นักบอลครับ แต่พอโตมาในความเป็นจริง ถึงได้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ (หัวเราะ) มันมีหลายอย่าง มันมีคนเก่งกว่าเราเยอะ มันใช้ความพยายามมากกว่าเราเยอะ แล้วในบ้านเราก็พูดกันในความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะเลี้ยงดูเราได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่ได้บอกว่านักบอลเลี้ยงดูชีวิตคนไม่ได้นะครับ ผมเชื่อว่าทุกอาชีพเลี้ยงดูชีวิตคนได้หมด แต่ว่าด้วยฝีเท้าประมาณผม ไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ครับ จริงๆ การเป็นนักบอลก็เลิกตั้งแต่ประมาณ ม.ต้นแล้วครับ ตอนประถมปลายถึงมัธยมต้นก็จะเป็นนักบอลโรงเรียน

ตอนไปแข่งบอล ยังจำความรู้สึกนั้นได้ไหมว่าเป็นอย่างไร

ยังจำได้ครับ รู้สึกภูมิใจ เพราะตอนนั้นเป็นนักบอลและเป็นเบอร์ต้นๆ ของในรุ่นด้วย ได้เบอร์ 10 เล่นกองหน้า ก็ภูมิใจครับ คิดว่าตัวเองเก่ง แล้วพอเรียนมัธยม โรงเรียนจะมีโควต้านักกีฬา พอเจอเด็กโรงเรียนจากต่างจังหวัดที่เป็นนักกีฬาจริงๆ ก็รู้เลยว่าตัวเองห่วย (หัวเราะ) เขาเก่งจริงๆ คือเขามีชีวิตมาเพื่อเป็นนักกีฬาครับ เราก็ซ้อมบ้าง เล่นบ้าง เที่ยวบ้างตามประสาเด็กกรุงเทพฯ ไม่ได้แบบจริงจังขนาดนั้น

พอหยุดจากการเป็นนักบอล ก็มาเป็นนักดนตรี แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นมีความสุขมากครับ ก็โฟกัสแต่ดนตรีเลยสมัยมัธยม ผมจะค่อนข้างเป็นเด็กกิจกรรม ไม่ใช่เด็กเรียน คือเวลามีอะไรที่สนใจ ก็จะมุ่งไปทางนั้นเลย ก็มีช่วงหนึ่งที่อยากจะเป็นนักดนตรีเหมือนกัน ก็ทำมาสักพักหนึ่ง แล้วมาเปลี่ยนตรงที่พี่ชายผมก็เล่นดนตรีเหมือนกัน เขาเล่นอย่างจริงจัง ด้วยการได้ทุนไปเรียนดนตรีที่ต่างประเทศ ผมก็รู้สึกว่าเราก็อยากทำเหมือนกัน แต่ว่าเราไม่อยากทำอะไรที่มันซ้ำกับคนในครอบครัว เราอยากให้มันไม่เหมือนกัน เราจะได้รู้สึกว่าเราไม่แข่งขันกัน

แสดงว่าเรามีแนวทางเฉพาะตัวของเราไหม

เป็นความรู้สึกไม่อยากด้อยกว่าคนอื่นมากกว่าครับ เพราะว่าพอเราเริ่มทีหลังคนอื่น เรารู้สึกว่าต้องทำมากกว่าคนอื่น แล้วพอเหมือนกับว่าเรามีอีกทางหนึ่งที่เราทำ แล้วเราได้โอกาสนี้ชนิดที่เรียกว่าอาจจจะเป็นหนึ่งในล้าน เราก็เลยคิดว่าควรใช้โอกาสนี้ให้คุ้ม เราไม่ควรจะนั่งแสวงหาโอกาสอะไรอื่นนอกจากโอกาสที่เราได้มา ก็เลยตั้งใจทำให้โอกาสนี้มันประสบผลมากที่สุด

มีการบริหารจัดการชีวิตอย่างไรบ้าง

ก็เอางานเป็นหลักเลยครับ ผมเป็นคนที่เวลามีอย่างอื่น การเรียนก็จะเป็นรอง แต่ผมก็เป็นคนที่รู้ตัวว่าทำอย่างไรให้รอด ให้ผ่าน เป็นคนเอาตัวรอดเก่ง อย่างเรื่องเรียน ก็รู้ว่าอ่านหนังสือแค่ไหนให้มันผ่าน แต่ไม่ใช่ได้ A ก็เลยเน้นที่งานหลักๆ เลยครับ เรื่องแบ่งเวลาก็สมมติว่าจะสอบ ก็อ่านสัก 1-2 วันก่อนสอบ ไม่ได้อ่านเผื่อๆ เหมือนเพื่อนคนอื่น ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าการทำงานสำคัญกว่าการเรียนนะครับ แต่พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าก็คิดแบบนั้นนะ ก็ดีที่เป็นแบบนั้น แต่ว่าตอนนั้นแค่รู้สึกว่ามีอะไรทำมากกว่าคนอื่นนอกจากเรียน มันเท่ดี (หัวเราะ)

ทางครอบครัวว่าอย่างไรบ้าง

เขาก็ยินดีนะครับ คือบ้านผมค่อนข้างจะเป็นบ้านที่สมัยใหม่หน่อย เปิดใจมากว่าลูกอยากจะทำอะไร เป็นอะไร แล้วเราก็ไม่รู้สึกกดดัน เขาไม่ได้ขีดเส้นไว้ให้เราว่ามันต้องเป็นแบบไหน เขาก็แล้วแต่ชีวิตเรา เราอยากเป็นอะไร แต่จะมีข้อจำกัดอยู่ว่าทำแล้วมันต้องเลี้ยงดูเราได้ ทำแล้วมันต้องมีอะไรการันตีว่าประสบความสำเร็จ เขาก็จะมีเส้นที่ว่าไม่ให้ไปทำอะไรที่มั่วซั่วจนเกินไป อย่างรักอะไรมากๆ แต่ว่าทำไม่เก่งเลย เขาก็ไม่ยินดีที่จะให้เราทำขนาดนั้น แล้วเราก็มีวางแผนกับครอบครัวบ้าง แต่ไม่ได้พูดคุยเป็นกิจจะลักษณะครับ เขาจะทำให้เห็น อย่างตอนพี่ผมเรียนดนตรี คุณพ่อคุณแม่ก็ขีดเส้นไว้เลยว่าถ้าจะเรียน ห้ามเรียนในประเทศไทย เพราะเหมือนกับว่าโอกาสที่ต่างประเทศ อาชีพนักดนตรีที่ต่างประเทศได้รับการยอมรับมากกว่า เขาก็เลยขีดเส้นเลยว่าถ้าจะเรียนดนตรี ทำยังไงก็ได้ให้ไปเรียนต่างประเทศ เขาก็จะมีอะไรแบบนี้กับลูกทุกคนครับ คือโอกาสและจังหวะมันต้องอยู่ในความเป็นจริงด้วยนะครับ เราไปฝืนในที่ไม่ใช่ มันก็ไม่ได้ เราจะไปวาดรูปในสนามบอล มันก็ไม่มีคนซื้อเรา เราควรจะอยู่ให้ถูกที่ แล้วทำสิ่งนั้นให้ถูกจุด

อยากให้เล่าถึงการเล่นละครเรื่องแรกคือเรือนเสน่หา อ่านบทแล้วรู้สึกยากไหม

ผมเป็นคนรู้สึกว่าผมทำได้ทุกอย่างตอนเด็กๆ นะ อย่างเป็นนักบอล คุณครูก็ยอมรับ เพื่อนๆ ก็ยอมรับว่าเก่ง พอเป็นนักดนตรีก็ถือว่าเก่งในรุ่น เรียนก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร ก็เรียนได้มาตลอด มีความรู้สึกว่าตอนนั้นทุกอย่างมันไม่ได้ยาก แล้วพอมาเล่นละคร มาอ่านบท ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายากอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่เข้าใจมันนั่นล่ะ ก็พอลงหน้าฉากจริงๆ เราเองทำอะไรไม่เป็นเลยครับ เกร็งไปหมดทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นความจำหมดเลย ต้องเดินไปตรงนี้ ต้องพูดคำนี้ๆ เดินไปตรงนั้น ต้องพูดคำนี้ ยากมากครับ เพราะว่าเหมือนเราเป็นเด็กที่ใช้หัวมาตั้งแต่เด็ก ใช้สมองคิดทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ค่อนข้างจะใช้ความรู้สึกน้อยมากในตอนเด็กๆ ก็เลยไม่เข้าใจว่าใช้ความรู้สึกกับสิ่งต่างๆ แบบละเอียดอ่อน มันควรจะเป็นอย่างไร

ยากไหมในการปรับตัวกับการทำงาน

ยากมากครับ มันต้องเปลี่ยนทั้งชีวิตส่วนตัวเลยครับ มุมมองของเราในโลกตั้งแต่ตื่นมาก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนในแง่ที่ว่ามองทุกอย่างอย่างรู้สึกครับ อย่างเวลาเจอคนบนท้องถนน เจอขอทาน หรือเจอคนเข้าเซเว่นแล้วนับเงินทีละบาทเพื่อจ่ายตังค์ เราก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา มองอย่างรู้สึกน่ะครับ ถ้าเป็นผมเมื่อก่อน ผมก็แค่ยืนต่อคิวธรรมดา ไม่ได้คิดลึกซึ้งขนาดนั้น พอเรามาเป็นนักแสดงอย่างนี้ จะเรียกว่าฝึกก็ไม่เชิงครับ ก็กึ่งๆ ฝึก แต่อีกแง่หนึ่งก็ทำให้เราเป็นคนที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ผมก็รู้สึกว่าการทำงานในวงการนี้มันก็มีประโยชน์กับคนแบบผมเหมือนกัน

หลังจากแสดงไปแล้ว มีใครที่เป็นคนแนะนำการแสดงให้บ้างไหม

พออยู่ในกระบวนการไปแล้ว การฉุกคิดหรือการปรับตัวมันเกิดขึ้นได้ยากมากครับ เพราะว่ามันต้องทำอยู่ตลอด เราไม่รู้ว่าต้องแก้ตรงไหน สมมติถ่ายจันทร์-พุธ วันที่เหลือก็ต้องเรียนการแสดง และเรียนฉากที่จะถ่ายวันจันทร์-พุธต่อไป เหมือนทุกอย่างเป็นการจัดตารางให้เราหมดเลยในการทำงาน ตอนนั้นเหมือนมันเร่งด้วยมั้งครับ คือสมัยก่อนละครช่อง 5 ไม่ได้เปิดเยอะ เกือบทั้งหมดเลยจะเป็นการถ่ายไปออกอากาศไป เพราะฉะนั้นคราวนี้เราไม่มีเวลามานั่งปั้น นั่งรอนักแสดงใหม่แบบเราครับ แล้วมันก็มีนักแสดงรุ่นใหญ่อีกหลายคนที่อยู่ในเรื่องนั้น จะมารอ 10 เทคไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นมันไม่มีเวลามาฉุกคิดว่าควรจะแก้ยังไง หลังจากจบเรื่องนั้นมากกว่าที่เราจะมีเวลามาทบทวนว่าเราต้องแก้อะไรตรงไหน

มีโอกาสได้ดูผลงานตัวเองไหมหลังจากจบเรื่องนั้น แล้วรู้สึกยังไงบ้าง

ดูครับ รู้สึกแย่มาก รับไม่ได้เลยครับ ยิ่งเราเป็นคนเล่น เราจะรู้ได้ว่าตอนที่เราเล่น เราคิดอะไรอยู่ ซึ่งผมย้อนกลับไปดู ผมจำได้ว่าผมไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเลย หัวผมอยู่กับอย่างอื่นหมดเลยครับ อยู่กับ Blocking อยู่กับทุกอย่าง ก็เลยไม่ได้ชอบที่จะย้อนไปดูตัวเองในอดีตเท่าไร รู้สึกว่า เออ มันผ่านไปก็ดีแล้วล่ะ (หัวเราะ)

พอผ่านเรื่องแรกไป กลับมาทำการบ้านอะไรบ้างไหม

ก็มีการเรียนการแสดงด้วย และผมใช้ชีวิตกับการดูหนังขึ้นมาก เมื่อก่อนเราก็ดูหนังนะ แต่ไม่ได้ดูเยอะ แล้วผู้ชายด้วยล่ะ จะชอบดูหนัง Action ก็มาเปลี่ยนหนังที่ดูเป็นหนังที่ลึกซึ้งกว่าเดิม มีความดราม่าเยอะขึ้น และสัญญากับตัวเองไว้ว่า เมื่อก่อนจะเป็นร้านแมงป่องที่มีขายหนัง จะไม่มีออนไลน์แบบเดี๋ยวนี้ ต้องเข้าไปซื้อหนังในนั้น ดูให้ได้ 3 เรื่องต่ออาทิตย์ ซื้อมาทีละ 3 เรื่องเพื่อมาดูๆ พอดูแล้วก็ดูอย่างลึกซึ้งกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ไม่เชิงว่าจะแกะเขามานะครับ คือวิธีการดูหนังเพื่อให้การแสดงของเราให้มันดีขึ้น คือการแทนว่าเราเป็นตัวละคร และเรารู้สึกเหมือนเขาตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนถึงสุดท้าย เราก็จะเข้าใจ เพราะเหมือนกับเราโตไปพร้อมกับตัวละครในเรื่อง อาจจะไม่ได้โตมาตั้งแต่เด็กเหมือนเราเล่นละครแล้วต้องปูพื้นหลังของตัวละคร แต่เราก็จะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้นกับฉากฉากนั้น และเป็นความรู้สึกแบบไหน

เรื่องที่ 2 คือจ้าวพายุ เรามีการปรับตัวเองแล้วดีขึ้นไหม

ดีขึ้นครับ เข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วก็บวกกับวิธีการเอาตัวรอดด้วย (หัวเราะ) เอาตรงๆ ตอนนั้นบางฉาก เราก็ไม่ได้เข้าใจความรู้สึก เราก็เลยไม่ได้รู้สึกจริง 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะใช้วิธีเหมือนการแสดงไปด้วยว่าแสดงว่ารู้สึก เพื่อให้มันผ่านไปได้ จะเรียกว่าเป็นเหมือนแสดงซ้อนแสดงก็ได้ครับ ส่วนการร่วมงานกับนักแสดงแถวหน้านั้น ความเกร็งก็จะน้อยลงครับ เพราะหลังจากเรื่องแรกที่เราเจอมา ความเกร็งไม่ได้ช่วยให้งานเราดีขึ้น เราก็ตั้งเป้าว่าจะไม่เกร็ง จะไม่รู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกแบบนั้นมันไม่ได้ดีกับอะไรเลยครับ

จากเรื่องแรกจนถึงเรื่องล่าสุด วิมานทราย หลังจากที่อ่านบทเสร็จ เราทำอะไรกับตัวเองบ้างไหม

ผมจะใช้วิธีนึกเยอะครับ ผมจะไม่ค่อยจด จะจดในสิ่งที่เราคิดว่ามันใช่ ผมจะปูพื้นหลังของตัวละครว่าเขาเกิดมายังไง โตมายังไง เมื่อก่อนตอนเด็ก บ้านเขาเป็นยังไง แล้วก็อ่านทั้งเรื่องซึ่งสำคัญมากสำหรับผมว่าจะต้องรู้ทั้งเรื่องว่ามันเล่าอะไร เพื่อให้เข้าใจเรื่องทั้งหมดว่าเรื่องมันจะเล่าอะไร แต่ก็แค่ตอนแรกๆ นะครับที่อ่านบทคนอื่น บางคนอาจจะอ่านทั้งเรื่อง แต่ผมรู้สึกว่าผมอยากทำการแสดงที่ออกมาจากมุมของตัวละครของเราที่บางทีอาจจะไม่ต้องพยายามเข้าใจเรื่อง มันจะฉลาดเกินไปสำหรับตัวละครสำหรับผมในบางครั้งที่พอเรามีประสบการณ์ แล้วเราจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้ เราต้องเล่นแบบไหน ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้น มันจะทำให้ผมรู้สึกว่าเราไม่สนุกกับงานน่ะครับ เราอยากจะตื่นเต้นไปพร้อมกับตัวละครในแต่ละฉากว่าเราจะรู้สึกอะไร เราจะทำอะไร เราจะพูดอะไร

พอมาเป็นพระเอกเรื่องวิมานทรายที่ถือว่าแหกขนบการเป็นพระเอกที่ผ่านมา กดดันกว่าเดิมไหม

ไม่เลยครับสำหรับเรื่องนี้ เพราะเหมือนเราก็เข้าใจในตัวละครของเขา จริงๆ ผมรับบทบาทมาเยอะมากทั้งดีและร้ายก่อนจะเป็นพระเอก มันเข้าใจได้ในสถานการณ์บางอย่างที่เขาร้ายๆ แรงๆ คือพอมาเป็นพระเอก เราอาจจะไม่ได้เป็นพระเอกแบบเกรี้ยวกราดหรือแรงๆ แต่ก่อนหน้านี้ที่เราเล่นเป็นตัวร้ายหรือตัวสอง มันก็มีอารมณ์อะไรแบบนี้อยู่บ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกสำหรับผมขนาดนั้น แต่ว่ามันต้องสมดุลครับ คือตอนเป็นตัวร้าย จะร้ายยังไงก็ได้ ยิ่งร้ายยิ่งดี ร้ายให้สุด แต่พอมีคำว่าพระเอกร้าย มันต้องสมดุลให้ดีว่าทำยังไงให้คนไม่รู้สึกว่าเราไม่มีเหตุผลหรือร้ายจนเกินเหตุจนทำให้คนเกลียดตัวละครที่เราเล่น

หลังจากเล่นมาหลายเรื่อง มันสอนให้เราเติบโตอะไรบ้างไหมในชีวิต

เยอะมากครับ ผมได้ประสบการณ์ที่ดีจากละครทุกๆ เรื่อง และตัวละครที่เราเล่น และตัวละครในเรื่องด้วย คือสมัยนี้ละครไทยไม่ใช่ละครด้านเดียวแล้วครับ ตัวละครของช่องวันหลายๆ เรื่อง หลังๆ ไม่ใช่ตัวละครขาวกับดำ ส่วนใหญ่จะเป็นเทา มีทุกด้าน กลม เพราะฉะนั้นบทเรียนทุกอย่างมีอยู่ในทุกตัวละคร เราเห็นได้และเราเอาข้อดีมาปรับใช้กับชีวิตเราได้เหมือนกันครับ

รู้สึกอย่างไรที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างช่องวัน

รู้สึกยังไงที่บ้านหลังเล็กกลายมาเป็นบ้านหลังใหญ่จะดีกว่าครับ เพราะผมอยู่มาตั้งแต่ Exact มันเร็วมากครับสำหรับผม แล้วถ้าลองมองย้อนเป็น Timeline เราก็ดีใจมากเหมือนกันที่วันหนึ่งเราได้กลายเป็นสถานีที่คนให้การยอมรับเยอะขนาดนี้ แล้วก็มีโอกาสที่เยอะมากๆ ขนาดนี้ เพราะว่าตอนที่เป็น Exact พูดตามตรงคือเราก็เช่าเวลา ททบ.5 เวลาในการโปรโมตละคร มีแค่เวลาที่เราเช่า เมื่อก่อนเราก็ดูช่องอื่น เราก็เห็นว่าเวลาจะมีละครมา ก็โปรโมตยิงทีเซอร์ไล่มาตั้งแต่ 08.00 น. ของเราต้องรอตอน 20.00 น. ถึงจะมีตัวอย่างรายการอะไรที่เราทำอยู่ใน Exact พอมาเป็นตอนนี้ เรารู้สึกดีมากที่มันมีช่องทางให้เราได้บอกคนว่าเราจะมีอะไรให้เขาดู ก็รู้สึกยินดีมากที่ได้อยู่ในช่องวันที่ตอนนี้เป็นที่ยอมรับมากๆ ในคนดูและมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

รู้สึกตัวเองเติบโตขึ้นมากไหมในการอยู่กับทางช่องวัน

ใช่ครับ ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ด้วย เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่าเรามีผู้บริหาร เรารู้สึกว่าเรามีพ่อ มีพี่คือพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์) หรือพี่คนอื่นๆ ที่อยู่ในช่อง เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ทำเราเป็นสินค้า ซึ่งนั่นเป็นข้อดีมากๆ ผมรู้สึกว่าที่นี่เรามีผู้บริหารที่เป็นศิลปินทุกคน มีผู้บริหารที่เมื่อก่อนเป็นผู้กำกับ เขาเลยเข้าใจเราครับ และเขาเข้าใจในงานทุกงานที่เขาทำ และไม่ได้มองทุกงานเป็นเม็ดเงินไปหมด เพราะฉะนั้นเราพูดอะไรกับเขาก็ได้ในแง่ของศิลปะ และเราร่วมสร้างสรรค์ไปด้วยกันให้เป็นละครทุกเรื่องของ ONEE ปัจจุบันพี่บอยยังตรวจเทปละครทุกเรื่องเองอยู่นะครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขารัก นั่นคือจุดหลักๆ ที่ทำให้เขามาได้ถึงปัจจุบันนี้ ก็คือความรักในศิลปะ รักในงาน ซึ่งพี่บอยก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ครับ

ทุกวันนี้ยังดูฟุตบอลอยู่ไหมครับ

ดูสิครับ ผมเชียร์ Liverpool ครับ สมัยนั้นผมเชียร์ไมเคิล โอเวนครับ ชอบมากและผมก็เป็นกองหน้าด้วย แล้วพอได้เบอร์ 10 ก็โอ้โห เบอร์โอเวน ในตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าประวัติทีมเป็นยังไง แค่ชอบโอเวนและเชียร์ Liverpool แต่พอดูๆ มา ก็เริ่มเติบโตไปกับมัน เริ่มซึมซับประวัติต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ ของ Liverpool ก็รักไปเลย เป็นทีมรักอยู่ทีมเดียว ซึงการเชียร์ Liverpool นั้นมันก็เหมือนชีวิตนะ มันก็มีช่วงที่ดีและช่วงที่แย่ครับ ช่วงที่แย่บางทีเราก็ต้องสนับสนุนน่ะ มันอยู่ในคำคมของสโมสรอยู่แล้วว่า You never walk alone. คุณจะไม่มีทางเดินคนเดียวแบบเดียวดาย คือไม่ว่าจะอยู่ในจุดที่ดีหรือจุดที่แย่ เราก็จะเดินไปด้วยกัน แล้ววันหนึ่งมันจะดีขึ้นเองถ้าเรายังสามัคคีกันเป็นทีม เป็นผู้สนับสนุนให้กัน แล้วเราก็ผ่านช่วงที่แย่มาแล้ว ช่วงนี้ดี

สิ่งที่นักแสดงควรมีคืออะไรจากการเป็นดารานักแสดงที่รับหลายบทบาทมากขึ้น

ความรักในงานที่ทำ สำคัญที่สุดครับ อย่าไปคิดว่าทำงานเพื่อเงิน เมื่อไรที่คิดว่าทำงานเพื่อเงิน คุณจะทำงานไปตามสั่ง คุณจะไม่สร้างสรรค์มันต่อไป แล้วสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้เงินจากมัน เพราะว่าเราทำงานศิลปะ เมื่อไรที่คุณไม่เป็นศิลปิน คุณก็ทำงานศิลปะไม่ได้ดี

แต่ปัญหาจริงๆ ในการเป็นนักแสดงอีกอย่างคือพอเล่นละครแล้วมันติดกลับบ้าน ผมก็ติดครับ เคยติดขั้นสุดตอนนั้นเล่นเรื่องชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ ผมเล่นเป็นมือปืน แล้วชีวิตเขาค่อนข้างแย่ แล้วมันทำให้ตัวเราดำดิ่ง เศร้า ไม่ค่อยคุยกับคน แล้วร่างกายผมก็โทรมลงไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นรู้สึกแย่มากๆ มันไม่ได้แย่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายอะไรนะครับ แต่เรามารู้จากการที่คนรอบข้างมาบอกเราว่า ทำไมดูหมอง เศร้า เครียดจัง โดยที่เราก็ไม่ได้เครียดอะไรนะ เราแค่ทำงานของเรา เราก็เลยย้อนกลับมาดูตัวเราเองว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ ครับ แล้วก็พยายามมาวิเคราะห์ ว่ามันเป็นเพราะอะไร แล้วก็มารู้ว่าเราน่ะกลัวมากกับการที่เราจะเล่นละครเรื่องนั้นไม่ได้

ทุกๆ ครั้งที่เราเล่นละคร แล้วพอมันเป็นบทที่ยากและต้องแบกภาระเยอะ เราก็ไม่อยากจะโยนมันออกไปจากตัวเรา เพราะเราก็กลัวว่าถ้ามันหายไป เราก็จะทำได้ไม่ดี เราก็เลยกอดมันไว้ พอเรากอดมันไว้ ก็ส่งผลเสียมาที่ตัวเรา เพราะตัวละครมันมีมุมดี แต่มันก็มีมุมที่ไม่ดีเหมือนกัน มุมที่มันแย่ในชีวิตของเขา ซึ่งในชีวิตจริงๆ ของเรามันไม่ได้เป็นขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่นักแสดงควรมีคือเราต้องแยกแยะให้ได้ครับ ไม่ได้บอกว่าสลัดทิ้ง ข้อดีมันก็มี การที่เราเล่นเป็นตัวตนหนึ่งแล้วเรากลายเป็นคนที่ดีขึ้น มันก็เป็นไปได้ เราแค่ต้องแยกให้ชัดว่าเราจะเก็บอันไหนไว้ และจะทิ้งอันไหนไป

ทุกวันนี้แฟนคลับสนับสนุนเราอย่างไรบ้าง

ก็ยังเป็นเหมือนเดิมครับ ทุกครั้งที่มีละคร ทุกครั้งเขาก็จะช่วยโปรโมต ช่วยทุกทาง แล้วเวลามีงาน ก็เข้ามาหา คือผมกับแฟนคลับจะเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง เรามีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่อยากให้มาตรงนี้ ไม่อยากให้มาวันนี้ ก็พูดตรงๆ วันไหนไม่อยากถ่ายรูปเลย อยากกลับบ้าน ก็พูดตรงๆ เราก็เลยอยู่กันอย่างสบายใจ แล้วใครที่เข้ามาแล้วต้องการอะไรจากเรามากกว่าที่เรายินดี เราก็จะ โอเค ไม่เป็นไร เราพอใจกับสิ่งที่เราอยู่กันแบบนี้ ถ้าคนที่เข้ามาก็ต้องเข้าใจว่าบ้านเราเป็นแบบนี้ ซึ่งเขาก็สนับสนุนเรานะครับ มันทำให้เรารู้ได้จริงๆ ว่ามันยังมีคนรักเราอยู่จริงๆ มีคนเกลียดก็ต้องมีคนรัก แต่บางทีเวลามีคนเกลียดเยอะๆ เราจะมองไม่เห็นคนที่รักเรา แต่ว่าแฟนคลับเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เขาก็รักเรา และเขาก็เข้าใจเรา มันก็เลยเป็นเหมือนอะไรที่พักพิงได้ เหมือนครอบครัวครับ คือผมไม่ได้เป็นคนต้องการอะไรเยอะจากแฟนคลับ แค่เขามาหา ก็เกรงใจแล้ว บางทีก็จะบอกว่าไม่ต้องมาก็ได้ มันดึก มันเหนื่อยหรือลำบาก ยิ่งถ้าเขาซื้อของมาให้ในราคาแพงๆ เราจะรู้สึกเกรงใจมาก ผมเป็นคนอย่างนั้นครับ

มองอนาคตอีกสัก 5 ปี ยังจะอยู่ในวงการบันเทิงต่อไหม

ไม่รู้เลยครับ ผมไม่เคยมองไกลขนาด 5 ปี เพราะผมไม่รู้ว่าอีก 5 ปี ผมจะรู้สึกอย่างไรครับ แล้วถ้าพูดในความเป็นจริง เราเป็นลูกจ้าง นักแสดงเป็นลูกจ้างที่ยังไงก็ต้องมีนายจ้าง มีคนรักและมีคนให้โอกาสอยู่ ผมไม่สามารถยืนยันอะไรได้ว่าอีก 5 ปีจะยังมีคนให้โอกาสได้เท่านี้ น้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ผมรู้คือถ้าผมทำงานในปัจจุบันให้ได้ดีที่สุดและมันออกไปดี ผมจะได้โอกาสเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นผมก็เลยวางแผนแค่งานของผมที่ทำอยู่

พูดถึงน้องเอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา กลับมาเจอกันรอบนี้เป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับการแสดงก็เข้าขากันเหมือนเดิมครับ เรื่องเล่ห์รตีคือ 6 ปีแล้วครับจากที่ไม่ได้เจอน้อง เราก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าน้องเป็นคนเก่งมาก น้องเป็นเด็กมีพรสวรรค์ทางการแสดงขั้นสูงครับ ซึ่งพอเรารู้ว่าเป็นน้องก็สบายใจและดีใจเลยครับที่รู้ว่าการทำงานมันจะไม่ยาก แล้วพอได้มาเจออีกที มันก็ไม่ยากจริงๆ บางฉากก็เจออะไรที่มากกว่าที่คาดไว้ก็มี แล้วบรรยากาศในกองก็ดีครับ เพราะว่าเราสองคนก็รู้จักกันอยู่แล้ว สนิทกันอยู่แล้ว ก็เลยไม่มีอะไรต้องห่วงเลยครับกับเอสเธอร์ บางฉากที่บางทีน้องเล่น เราก็รู้สึกว่า โห เล่นเก่งจังเลย ยังมีอยู่ทุกครั้งที่เห็นน้องเล่น เราก็ทึ่งนะ เพราะว่าโดยส่วนตัวน้อง เขาไม่ได้เป็นคนมีชีวิตตรากตรำมา ร้องห่มร้องไห้ในชีวิต แต่ว่าพอมาเป็นตัวละคร น้องสามารถทำได้ทุกอย่างที่ผู้กำกับต้องการและที่บทต้องการ นั่นคือพรสวรรค์ครับ ก็ยังชมน้องอยู่ทุกครั้งที่แบบ โห ฉากนี้น้องเล่นดีมากเลย แล้วบางครั้งก็ไปแอบยืนดูมอนิเตอร์ แล้วผมก็รู้สึกว่าบทบาทแบบนี้ สำหรับผมนะ เอสเธอร์น่าจะเป็นคนที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่รับบทนี้

มีวิธีการรับมือคำพูดที่รุนแรง หรือคำติชมต่างๆ ที่เข้ามาอย่างไรบ้าง

ผมค่อนข้างจะไม่เดือดร้อนมาก เพราะว่ามันมีช่วงที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันสำหรับชีวิตจริงกับสื่อสังคมออนไลน์ แต่พอหลังๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคนละเรื่อง ผมรู้สึกว่านั่นเป็นภาพที่ผมในฐานะศิลปินดาราต้องทำตัวตนให้คนได้รู้ว่าเราเป็นคนยังไง แต่เราจะไม่เอาคำพูดนั้นๆ มากลืนไปกับชีวิตจริงว่าเขาว่าเราจริงๆ เหมือนบางอย่างก็ต้องยอมรับว่าจริงๆ Instagram ที่ผมเล่นอย่างเดียว มันเป็นภาพที่ก็ต้องพูดตามตรงว่าเราสร้างขึ้นมาในบางส่วน ให้คนได้เห็นเราในรูปแบบนั้น ชีวิตจริงผมอาจจะไม่ได้แต่งเสื้อผ้าแฟชั่น แต่ผมก็ทำในนั้น มันก็เป็นช่องทางหนึ่งให้คนได้เห็นเราในมุมหลากหลาย ซึ่งมันก็เลยไม่ได้เหมือนกับชีวิตจริงของผมอยู่แล้ว แล้วพอมันไม่เหมือนกัน พอมีอะไรมามีผลกระทบตรงนี้ มันก็เลยไม่ส่งผลตรงนี้ครับ

พอมันมีความรุนแรงเข้ามา การเป็นศิลปินดาราต้องไม่แสดงออกหรือเปล่า

ทำบ้างในสิ่งที่เป็นความจริงครับ เช่น ถ้าพูดถึงเรื่องการแสดง แล้วเราลองฉุกคิดดูว่า เออ สิ่งที่เขาพูดมันก็จริงว่ะ หรือก็ต้องยอมรับให้ได้ว่านักแสดงบ้านเรา ในฐานะที่เราต้องทำให้คนชอบ เราก็ต้องทำให้คนชอบ ถ้าคนไม่ชอบ แปลว่าเราไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นคำที่ไม่ชอบอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลงานของเรา เราก็ต้องเอามันมาปรับปรุงครับ

ศิลปินไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจริงเหรอ

มันเป็นวัฒนธรรมครับที่ต้องยอมรับให้ได้ คุณจะไปฉีกมันไม่ได้หรอก จะไปบอกว่าเมืองนอก ชีวิตส่วนตัว เขาต่อยนักข่าว (หัวเราะ) ก็ไม่ได้ครับ คุณอยู่ในเมืองไทย ผมว่าเราก็ต้องยอมรับมัน คุณจะไปฉีกกฎ มันไม่มีใครฟังคุณหรอก แต่ว่าสุดท้ายแล้ว คุณทนไหวแค่ไหนมากกว่า พื้นที่ของคุณให้เขาเข้ามาได้แค่ไหน ถ้ามันเกินไป เราก็ต้องมีวิธีจัดการในแบบที่เราจะฉลาดพอว่ามันจะไม่เดือดร้อนต่ออาชีพเรา

การวางตัวสำคัญไหม และมีวิธีการอย่างไรบ้าง

สำคัญครับ ผมพยายามพูดในความเป็นจริงทั้งหมดครับ เพราะผมรู้สึกว่าคนดูหรือคนในโลกออนไลน์ไม่ได้โง่ คนดูฉลาดและมีความคิดความอ่านทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามแกล้งทำว่าเราเป็นอะไรสักอย่างที่มันเกินจริง ให้เขาดูว่าเราดีนักหนา ผมว่านั่นน่ะไม่ดี แล้วเวลาเราเห็นอะไรแบบนั้นที่มีคนทำแล้วแสดงออกว่าเขาเป็นคนดีจังเลย เราก็รู้สึกไม่ชอบคนคนนั้นและเราก็ไม่อยากเป็นคนคนนั้น อย่างมาพูดวันนี้ ผมก็เผยทั้งมุมดีและไม่ดีของผมออกไป แต่สุดท้ายมันกลายมาเป็นบทเรียนทั้งนั้น และถ้าคนได้เห็น ได้อ่าน ได้ดู เขาก็จะได้บทเรียนในแบบแบบหนึ่งของชีวิตผมไป เพราะฉะนั้นผมก็อยากให้ทุกคนวางตัวเป็นตัวของตัวเองครับ ไม่อยากให้เสแสร้งว่าเป็นใครที่มันดีเกินจริง เพราะว่าปัจจุบันนี้มันสัมผัสไม่ได้หรอก

คนดูจะได้เห็นอะไรจากเรื่องวิมานทรายบ้าง

คนดูจะได้เห็นนางเอกที่เล่นเก่งมากๆ ครับ (หัวเราะ) ผมว่าสิ่งที่เขาซึมซับได้น่าจะเป็นความรักที่ลึกซึ้งของพระ-นาง คนดูน่าจะลุ้นและเชียร์ตามว่าอยากให้เขารักกันให้ได้ เพราะว่าเขารักกันในตอนแรก แล้วเขาก็เจออุปสรรคที่มันดูเหมือนแทบจะรักกันไม่ได้อีกแล้ว แต่คนดูก็จะลุ้นตามเชียร์ อยากให้เขาผ่านไปให้ได้ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่มันมากมายเหลือเกิน แล้วคนดูน่าจะได้ดูภาพสวยๆ เยอะครับ เพราะเราก็ไปถ่ายตามสถานที่ถ่ายทำต่างๆ ที่ลำบากอยู่เหมือนกันครับ (หัวเราะ) อย่างที่เห็นในตัวอย่างก็น่าจะได้เห็นภาพสวยๆ เยอะ และเพลงเพราะๆด้วยเช่นกัน

รู้สึกยังไงที่พี่เบิร์ดมาร้องเพลงให้กับละครของเรา

โอย ดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไงครับ เป็นเกียรติมาก เพราะว่าเราก็ไม่ได้เห็นพี่เบิร์ดกลับมาร้องเพลงนานมาก แล้วกลับมาคราวนี้ก็มาร้องเพลงละครของเราเลย ดีใจมาก เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเพลงละคร เพราะเพลงละครเป็นอะไรที่สามารถช่วยส่งเสริมการแสดงของเราด้วยซ้ำ เป็นอะไรที่บางทีพูดแทนตัวละครด้วยซ้ำ แล้วพอเป็นศิลปินรุ่นแบบพี่เบิร์ดมาถ่ายทอดให้ แล้วพอเราฟัง ก็สบายใจเลยว่าเพลงนี้สามารถถ่ายทอดความเป็นตัวละครได้ดีเท่าๆ กับเราที่เป็นนักแสดง

รู้สึกยังไงที่ ONEE เข้าตลาดหลักทรัพย์

ก็รู้สึกว่าเงินที่เข้ามาเยอะขึ้น น่าจะทำให้เราได้ทำอะไรที่สร้างสรรค์มากขึ้นให้คนไทยได้ดู นอกจากละครไทยที่เราทำ บางทีเรายังต้องคำนึงถึงคนดูว่าคุณชอบแบบไหน เราทำแบบนั้นให้คุณดูนะ เรามีทุนมากพอที่เราจะสร้างสรรค์งานแบบอื่นที่เราก็ไม่ได้ชัวร์หรอกว่าคนอยากจะดูทั้งหมดหรือเปล่า แต่เราอยากจะทำน่ะ เราอยากจะขยายวงการละครไทย ซีรีส์ หรือหนังไทยให้กว้างกว่าเดิม ให้มีตัวเลือกมากกว่าเดิม และเราจะทำมันครับ อาจจะไม่ใช่แค่สถานีโทรทัศน์ด้วยซ้ำ เราก็มีทุนพอที่จะสร้างแพลตฟอร์มของเราเอง สร้างซีรีส์ไปลงแพลตฟอร์มต่างๆ เราก็พร้อมที่จะทำในทุนที่เราได้มา ก็ดีใจมากๆ ทั้งบริษัทที่อยู่ในเครือ ONEE ก็แทบจะครบหมดทุกอย่างในแนวของละคร Entertainment ต่างๆ ดีใจมากๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่วันที่เราเข้ามาก่อน แล้วเราก็อยู่ในช่วงเติบโต และเราก็เป็นส่วนหนึ่งในช่วงเติบโตนั้น ก็ดีใจมากครับ

งานส่งผลอย่างไรกับการเติบโตของเรา

มีหลายมุมมากครับ ทั้งมุมของการเป็นดาราศิลปิน แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะทำอาชีพอื่น พ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวผม แต่ว่าการเป็นดาราศิลปินมันชัดเจนมากๆ ว่าคนได้รู้จักเรามากขึ้น รู้จักพ่อแม่เรา พ่อแม่เราภูมิใจที่จะบอกไปว่าเราเป็นลูก นั่นคือสิ่งที่เราดีใจมากๆ ภูมิใจทุกครั้งที่ละครเราออกอากาศ วันที่เรากลับบ้านไป ละครใกล้ออกอากาศแล้วเขาดูละครที่เราเล่น นั่งดูกับพ่อแม่ ผมดีใจมากครับ นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วของการตั้งใจทำงานของผม คือการได้เห็นพ่อแม่ยินดีและเชื่อมั่น ไว้ใจให้เราทำงานต่อไป

ในส่วนของตัวเอง มันสอนให้ผมเป็นคนมีวุฒิภาวะมากขึ้นครับ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมไปทำงานสายอาชีพอื่นจะเป็นยังไงนะ แต่ผมคิดว่าผมอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอคนที่หลากหลายเท่านี้ คนทุกระดับเท่านี้ แต่ผมไม่ได้แบ่งแยกคนนะครับ แต่คนที่มีโอกาสไม่เท่ากันน่ะ เช่นในกอง เราเจอตั้งแต่ช่างไฟยันผู้กำกับ หรือนักแสดงรุ่นใหญ่ นักแสดงใหม่ ทุกคนมีพื้นฐานชีวิตต่างกันหมดเลย พอได้เรียนรู้เขา ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขา ได้ทำดีกับเขา มันทำให้เราเข้าใจคนมากขึ้น ทำให้เรามีวุฒิภาวะที่สูงขึ้นในชีวิตของเราด้วย มันก็เลยทำให้เราเป็นคนไม่เห็นแก่ตัวครับ ทำให้เราเป็นคนที่จะเลือกปล่อยวางและยินดีกับคนทุกๆ คน เพราะฉะนั้นก็ต้องขอบคุณวงการนี้ด้วยที่สอนผมให้กลายเป็นคนแบบนี้ครับ

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า