fbpx

ราคาที่ต้องจ่ายต่อการ “เป็นอิสระ” ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของอิสระ ฮาตะ

จากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันทำให้เราได้เห็นใครหลายคนออกมาเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง หนึ่งในนั้นที่ฉันเห็นคืออิสระ ฮาตะ ที่หลายๆ คนอาจจะคุ้นชินกับในฐานะยูทูปเบอร์ของ Rubsarb Production 

แต่มีอีกด้านหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคยนักคือ การเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอิสระเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงนี้มาอย่างยาวนาน เนื่องจากคุณแม่ของอิสระนั่นคือครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เคยเป็นทั้งฐานเสียงให้กับนักการเมือง และเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาในพื้นที่เขตคลองเตย

หากใครติดตาม Subdar7 (สัปดาห์หารเจ็ด) ช่องย่อยของ Rubsarb Production รายการ Vlog รายวันเล่าเรื่องกิจกรรมในชีวิตของชาวรับทราบที่หากได้ติดตามจะรู้เลยว่าอิสระไปม็อบอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะผู้ร่วมชุมนุมหรือในฐานะผู้ดูแล Child in Mob นอกจากนี้อิสระยังเป็นหนึ่งในจิตอาสาที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ร่วมกับครูประทีปในนามมูลนิธิดวงประทีปอีกด้วย

Modernist จึงเปิดห้อง Conference เพื่อคุยกับอิสระเป็นกรณีพิเศษสุดๆ ถึงความเคลื่อนไหวในการออกเสียงของประชาชน เสียงที่ผู้มีอำนาจควรจะฟังแต่ก็ยังเพิกเฉย เพื่อให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ควรจะได้ภายใตัรัฐธรรมนูญไทยอย่างแท้จริง

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

เท่าที่คุณทำ Vlog ในชื่อ Covid Diary หรือ Subdar7 เมื่อปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ คุณและบริษัทได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

อันแรกก็จะเป็นงานของรับทราบแล้วกันนะครับ ปีที่แล้วก็ผ่านมาได้อย่างโอเค เราก็ทำตัวเป็น Daily Blog ขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคุยกับจอร์จ (ปรีโรจน์ เกษมศานติ์) ไว้นานแล้วว่า งานยูทูปสไตล์คนอเมริกันเขาจะทำเป็น Daily Blog คือเขาจะลงทุกวัน จะถ่ายเอง ตัดเอง คิดคอนเทนต์เอง วันเดียวจบ มีหลายช่องมาก ซึ่งเป็นโมเดลที่เหมาะกับยูทูป เราอยากทำมานานละ พอถึงช่วงโควิดมันประจวบเหมาะที่จะทำขึ้นมา จากเราคนเดียวอาจจะแบกทั้งหมดไม่ไหว เราก็ลองขยายให้คนในบริษัทช่วยๆ กันทำ แล้วก็รวมตัดต่อคนหนึ่งให้มันเบาลงแล้วก็เข้ากับเราให้มากขึ้นเพื่อทดลอง ผลออกมาก็น่าพอใจ ช่วงนั้นก็ปรับตัวพอได้

พอทุกอย่างจะเริ่มคลาย งานก็เริ่มเข้า พอมาเจอปีนี้อีกก็คือไม่มีแผนสำรองแล้ว (หัวเราะ) เรื่องงานที่ออฟฟิศก็ค่อนข้างติดขัด เราก็คิดว่าวัคซีนมาช้า ตอนแรกเราจะไปอเมริกาเหมือนกัน จะไปพร้อมครูทอม (จักรกฤต โยมพยอม) นั่นแหละครับ ปรากฏว่าพอเราไปช่วยคุณแม่ เรารู้สึกว่าเราปล่อยแม่ไม่ได้ ก็เลยไปอยู่กับโซเฟีย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกระจกเงาในโครงการของสวนครูองุ่น (มาลิก) รู้สึกว่าพอเจอกันก็คุยกันรู้เรื่อง เคลียร์กันไว เข้าใจกันในเรื่องของวิธีการทำงาน ก็เลยลุยกัน ทำงานกันเลย แล้วพอมีแฟนรายการส่งชุด Rapid Test มาจากออสเตรีย เราก็เริ่มอินมากขึ้น ก็รับเคส มันก็เริ่มทำไปโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว 

ถ้าถามว่าทำไมเราไม่ไปอเมริกาซักที ก็คิดว่าเราอยู่ที่นี่คงมีประโยชน์มากกว่า ถ้าไปก็ไปได้เลย สวอปแล้วก็รับวัคซีนไฟเซอร์ แล้วก็มีความสุขอยู่ที่นู่น ถ่าย Vlog อยู่ที่นู่น แต่ก็รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ก่อนแหละ ช่วงนี้ก็เหมือนเป็น CSR ของรับทราบไปเลยแล้วกัน ก็ไม่ค่อยได้ช่วยงานเพื่อนๆ แล้วมาทำตรงนี้แทน เพื่อนๆ ก็ช่วยกันรัน กลับมาในเรื่องของบริษัทก็พยายามประคองไป ในส่วนของงานช่วยเหลือสังคมก็เต็มสตรีม 

แล้วจากการที่คุณลงพื้นที่ด้วยตัวเอง คุณมองเห็นอะไรบ้าง

ความรู้สึกมันเลยจุดที่เรากังวลไปแล้ว เพราะว่าสิ่งที่เรากังวลมันเกิดขึ้นแล้ว จริงๆ เรื่องของพื้นที่คลองเตยเรากลัวตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าถ้ามีการแพร่ระบาดในคลองเตยเมื่อไหร่ มันจะหยุดไม่อยู่ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงคลองเตยคลัสเตอร์ ถามว่ารู้สึกยังไง ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ที่ยังไม่ถูกแยก ไม่ถูกเยียวยา ตอนที่เกิดคลัสเตอร์คลองเตย โอเค ความช่วยเหลือเข้ามาเยอะ ก็ต้องขอขอบคุณ แต่ก็ยังมองว่าปัญหายังไม่ได้ถูกแก้อยู่ดี ตอนนี้ก็ได้แค่เยียวยาปัญหาให้พวกเขารอดจากเชื้อโรคเท่านั้นเองครับ ส่วนอื่นๆ ยังไม่ได้ถูกแก้ไขใดๆ 

ทั้งตัวคุณและคุณแม่กังวลมั้ยว่าจะติดโควิดจากการลงพื้นที่

มันก็เลยจุดกังวลไปแล้ว ก็ยังรู้สึกเป็นมูเตลูไปแล้วว่าคงโชคดี เพราะว่าแม่นี่แทบจะไปสัมผัสผู้ติดเชื้อแทบทุกครั้งที่ลงพื้นที่ (หัวเราะ) ผมก็เตือนแต่แกก็ไม่ฟัง เพราะแม่รู้สึกว่า Self-Esteem (การเคารพและเห็นคุณค่าในตัวเอง) ของคนคลองเตยมันลดทอนลงในช่วงที่คลองเตยเกิดคลัสเตอร์หนักมาก พอบอกว่ามาจากคลองเตยปุ๊บก็ถูกไล่ออก ถูกรังเกียจ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่น้อยอยู่แล้ว โดยฐานะก็ถูกลดทอนลงไปอีก แม่ก็เลยตัดสินใจอยากให้กำลังใจ ไปสัมผัส บางคนถึงขั้นมากอด แต่แม่ก็บอกนะว่าไม่ได้กอดๆ แต่ทีมงานก็บอกว่ากอดๆ (หัวเราะ) กอดผู้ติดเชื้อก็ยังรอดมาได้ 

ก็นั่นแหละครับ ถ้าไม่เชื่อในมู ก็ไม่รู้จะเชื่อในอะไร ถามว่ากลัวมั้ย ก็กังวลว่าแม่จะติดมากกว่า เพราะว่าด้วยอายุแม่จะ 70 ปีนี้แล้ว ก็กลัว แต่ก็ต้องทำอ่ะครับ เพราะว่านิสัยเดียวกัน ถ้าทำแล้วก็จะทำให้ได้ เราก็คิดว่าแม่กับเราก็คงเหมือนกันตรงนี้ด้วย เราพิจารณาตัวเองก็เห็นแม่ในมุมนี้ที่เรามีเหมือนกัน เพราะเราได้สิ่งนี้มาจากแม่ กังวลมั้ยก็กังวล แต่ก็ปล่อย

แล้วคิดว่าการบริหารจัดการปัญหาการระบาดโควิด-19 ของภาครัฐเป็นยังไงบ้าง

ก็ต้องขอชื่นชมว่าช่วงแรกที่ตัดสินใจล็อกดาวน์หรืออะไรอย่างนี้อ่ะครับ มันได้ผลอย่างที่เขาอยากให้เป็น แล้วเขายอมแลกเศรษฐกิจทุกอย่าง เขาตัดสินใจว่าเจ็บครั้งเดียวจบ แต่มันไม่จบ เพราะว่าการบริหารจัดการถัดมาในเรื่องของวัคซีนที่ผิดพลาด มันก็เลยทำให้ไม่จบ แล้วก็ยืดเยื้อต่อมา แล้วก็การรองรับใน Worst Case ไม่ได้เตรียมไว้ มีแต่โทษทุกคนว่าอย่าการ์ดตก 

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสรับทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด ช่วงนั้นเองที่เรารู้สึกเสียดาย เราพยายามหาข้อมูลที่มีแล้วแต่ไม่ได้หาเรื่องการทำ Home Isolation แล้วก็เรื่องการรักษาเชื้อโควิดว่ามันต้องทำยังไง ถ้าติดขึ้นมาต้องติดต่อช่องทางไหน เรารู้สึกว่าถ้าเรามีข้อมูลชุดนี้ในตอนนั้น คลิปเราน่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่านี้ อันนั้นก็เป็นความรู้ของเราที่มีจำกัดในฐานะสื่อนะครับ เพราะว่าถ้าเราได้ข้อมูลตรงนั้นจากผู้เชี่ยวชาญ หรือทางภาครัฐ  ศบค. ที่มีการเตรียมการทุกอย่างตรงนี้ไว้มันคงจะดีกว่านี้ในเรื่องของความรู้ เพราะจากประสบการณ์ที่เรารับเคสหลายอย่าง ทุกคนไม่รู้อะไรเลยว่าต้องทำอย่างไร 

มันน่าเสียดายตรงที่ว่าคุณมีผู้เชี่ยวชาญ คุณมีทุกอย่างอยู่ในมือ แต่ไม่มีการเตรียมการ Worst case เลย มันก็สะท้อนให้เห็นว่าขาดวิสัยทัศน์ คุณมีนักระบาดวิทยาอยู่ในมือ ผมไม่มีความรู้อะไรเลยนะ ผมว่านักระบาดวิทยามันต้องมีบทความหรือผลงานวิชาการที่มีในมืออยู่แล้ว อย่างเช่น โอกาสในการกลายพันธุ์ของเชื้อจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต้องป้องกันให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าในคณะทำงานเนี่ยมีคนคิดแผนไว้หมดแล้ว แต่ไม่ได้นำมาใช้หรือถูกเผยแพร่ให้ประชาชนรู้ ไม่ว่าจะเหตุผลทางการเมืองหรือต่าง ๆ นานา ในเรื่องของภาพลักษณ์ที่เขาต้องการจะรักษานักหนา คือน่าเสียดายความรู้ที่ไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกมา แม้แต่การใช้อุปกรณ์ต่างๆ การวางแผนล่วงหน้า ก็คือขาดวิสัยทัศน์นั่นเอง

ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าภาครัฐฯ จะมีทิศทางการควบคุมโรคนี้ต่อไปยังไง

ก็คิดว่าจะทำแบบตามมีตามเกิดแบบที่ทำตอนนี้อ่ะครับ ผมว่าเจ้าหน้าที่หลายคนก็ทำเต็มที่นะครับ แล้วคนที่มุ่งหาผลประโยชน์ก็มุ่งหาผลประโยชน์กันเต็มที่ อย่างเรื่องของชุดตรวจ ATK หรือ Rapid Test เนี่ย ที่ผมยังนั่งพิจารณาอยู่ ยังนั่งตัดสินใจอยู่ ชุดละ 250 บาทอ่ะครับ เจ้าของธุรกิจ เจ้าของโรงงานต่างๆ suffer มาก ที่ต้องมาจ่าย 250 บาท อย่างชุดที่ผมนำเข้ามาจากเยอรมัน ชุดละ 0.8 ยูโร ก็ประมาณ 31 บาท ยังไม่รวมค่าขนส่ง ทำไมค่าส่วนต่างมันเกิดขึ้นเยอะขนาดนี้ ก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะรวบรวมเงินแล้วก็ไปซื้อแสนชุดล้านชุดไปเลยถ้าเงินถึง แล้วก็นำมาบริจาคผ่านมูลนิธิต่างๆ ไปยังผู้ประกอบการหรือชาวบ้านทั่วไป แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะเป็นช่วงตักตวงของคนที่ทำงานด้านนี้เลย ด้านสาธารณสุขต่างๆ ผมเห็นความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งเห็นการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่มีความร่วมมือจากหลายฝ่ายแล้วเนี่ย ก็จะเห็นการแสวงหาผลประโยชน์ไปด้วย แล้วคนที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างเดียวผมก็เห็น มันก็ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะว่าตราบใดที่ยังมีผู้นำเป็นคนนี้ เป็นระบบในลักษณะนี้ไม่ถูกเปลี่ยน ก็ยังเป็นแบบนี้ต่อไปครับ

แล้วมาตรการต่างๆ ที่รัฐออกมามีความสมเหตุสมผลไหม อย่างเช่นการล็อคดาวน์มาเป็นระยะเวลานาน รวมถึงบางจังหวัดที่ยังเป็นพื้นที่สีแดงก็ยังมีเคอร์ฟิวอยู่

มาตรการของรัฐบาลมันจบไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วครับ ทุกวันนี้คือเขาขายผ้าเอาหน้ารอดไปทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ปีที่แล้วคือเขาน่าจะคิดวิเคราะห์ซักนิดว่ายอมเสียอ่ะครับ พอทุกอย่างพังมันก็ล้มเป็นโดมิโนต่อๆ กันไป ทำอะไรไม่ได้ก็ล็อกไปเลยแล้วกัน เหมือนสั่งๆ ไป ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว วัคซีนก็เอาเข้ามาไม่ได้ อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ ทำอันนู้นเดี๋ยวไปขัดคนนี้ ทำอันนี้เดี่ยวไปขัดคนนู้น เหมือนบริหารแบบเลยตามเลย ไม่ยอมลงว่าตายเพราะโควิด หรือโรคทางเดินทางหายใจล้มเหลว ก็ลงว่าโรคชรา ถ้าไม่ลงว่าโรคชราเดี๋ยวไม่เผาให้ อันนี้ก็เป็นเคสที่มีอยู่จริง มีญาติที่เสียหายแล้วก็จำใจทำ ไม่งั้นจะไม่ได้รับการฌาปนกิจ แล้วก็ลงในใบมรณบัตร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

คุณคิดยังไงกับคำว่า “การ์ดอย่าตก”

การ์ดอย่าตกก็นั่นแหละครับ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลย โทษคนอื่นง่ายที่สุดแล้วครับ รัฐบาลโทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเอง ถ้าการ์ดตกผมอธิบายอย่างอื่นไม่ได้ครับ เขาคิดว่าคนอื่นในประเทศเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหมด คิดว่าโง่ หละหลวม คิดอย่างนี้ เขาเลยพูดว่า “การ์ดอย่าตก” ให้เราฟังตลอด ถ้าคุณไม่อยากให้เราการ์ดตกคุณก็ต้องให้ความรู้ทั้งหมด มันน่าเสียดายที่คุณไม่ให้ความรู้ ไม่ได้ให้ข้อมูลในการทำ ATK ต้องมานั่งเถียงกันว่าแบบไหนได้ผลกว่า ต้องมาแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ อย่างนี้อ่ะครับ 

คำว่าการ์ดอย่าตกก็ต้องบอกเขาเองอ่ะครับ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีการ Provide ข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชนเลย กระทั่งการสวอป ก็ต้องเป็นแพทย์หรือพยาบาลที่ต้องถ่าย TikTok แล้วก็ต้องออกมาโชว์ว่าทำยังไง แค่ราคาก็ควบคุมไม่ได้เลย อย่างหน้ากาก ส่วนปีนี้ก็ ATK 

แล้วประชาชนต้องรออีกกี่ปีกว่ารัฐบาลไทยจะสามารถจัดการปัญหาโควิด-19 ให้หายไปจากประเทศไทยได้

จริงๆ ไม่ว่าจะบริหารแบบไหนมันก็หายไปได้อยู่แล้ว แต่ความเสียหายมันจะเกิดแค่ไหนแค่นั้นเองครับ หรือมันจะเข้ากับนโยบายคนจนหมดประเทศไหม แบบหมดประเทศด้วยการตายเพราะโควิด หรือธุรกิจจะเจ๊งไปแค่ไหนอ่ะครับ 

ถ้าถามว่าประเทศจะเหลืออะไรอยู่บ้าง มันเหลืออยู่แล้วครับ โควิดก็จะน้อยลงไป ด้วยเทคโนโลยีการป้องกัน ด้วยทุนทรัพย์ หรือคนที่อยู่ได้ก็อยู่ได้ด้วยกำลังของเขา แต่ระดับอื่นๆ จะพังครืนลงไป แล้วล้มเป็นโดมิโนในอนาคต นึกออกใช่ไหมครับ ก็ต้องรอดูไป ไม่ว่าภาครัฐจะบริหารจัดการแบบไหน เขาก็สามารถเคลมได้อยู่ดีว่าเป็นผลงานเขา แล้วเขาก็จะไม่ยอมรับความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น โควิดก็จะลดน้อยลงไปด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาอยู่แล้ว

เนื่องจากคุณไปม็อบอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่มีการประท้วงในช่วงปีที่ผ่านมา ในสายตาของคุณเอง ทิศทางการชุมนุมเป็นอย่างไรบ้าง

ผมว่ามันก็หลากหลายดีนะครับ เราสู้ในทางของความหลากหลาย ความขัดแย้งในวิธีคิดหรือวิธีการมันเกิดขึ้นได้เสมอ นี่ก็เป็นความลำบากของการเคารพซึ่งความหลากหลาย ก็ค่อยเป็นค่อยไปเนี่ยแหละครับ ถ้าเราเลือกที่จะใช้สันติวิธี เลือกใช้วิธีเหล่านี้แล้วเนี่ย มันก็ต้องต้องใช้เวลา ผมว่าค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ 

บางคนอาจจะชอบแนวไฮด์ปาร์ค ไปแต่ละครั้งมีเป้าหมายที่ชัดเจนหรืออะไร ผมรู้สึกว่าเป้าหมายมันชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ส่วนข้อมูลผมมองว่า ถ้าอยากหาข้อมูล อินเทอร์เน็ตมันมีตลอด มันมีมากเพียงพอที่จะบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่มีความชอบธรรมและควรจะออกไปได้ตั้งนานแล้ว คุณจะต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มอีก ส่วนการออกชุมนุม มันไม่จำเป็นต้องมีจุดประสงค์อะไรแล้ว จะออกไปเพื่ออะไรอีกนอกจากการไปแสดงพลังว่าฉันไม่เห็นด้วย เราลองเคลียร์พอยท์ให้ชัดเจนก่อนว่าจุดประสงค์ในการทำแต่ละครั้งคืออะไร เป้าหมายสูงสุดของเราคืออะไร คือเอาประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ออกไป และเปลี่ยนแปลงระบบให้มันดีใช่ไหมครับ 

ผมรู้สึกว่าตอนนี้เป้ามันชัดเจนแต่อย่าถูก Distract จากคนรอบข้าง ผมพูดแบบในฝั่งประชาธิปไตยเนอะ อย่าโดน Distract จากข้อมูลต่างๆ หรือ Distract จากคนกันเอง เป้าหมายเราชัดอยู่แล้วครับการออกไปแต่ละครั้งก็เลือกสไตล์ที่เราชอบ ผมเลือกที่จะออกไปทุกครั้ง แต่เราจะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปในแต่ละครั้งว่าเราชอบแบบไหน อย่างของน้องๆ ทะลุแก๊สผมก็ไป ไปร่วมกับกลุ่ม Child in Mob เรารู้ว่าเราไม่โอเคกับการแสดงออกของน้องๆ แบบนี้ แต่เราก็จะอดเป็นห่วงน้องๆ ไม่ได้ เราก็ไปพูดคุยมากกว่าว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันเป็นอย่างนี้นะ ก็ไปซัพพอร์ตเขา ไปชี้ให้เขาเห็นว่ามันจะเกิดอะไรกับเขา และให้เขาเป็นคนเลือกเอง เราไม่เลือกวิธีห้ามครับ เพราะว่าด้วยช่วงอายุมันห้ามกันยากครับช่วงนี้ เราก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละครั้งที่ออกไปว่า ในช่วงสถานการณ์แบบนี้เราช่วยตรงไหนได้บ้าง ก็ลองหาบทบาทของตัวเองเพื่อสนับสนุนในสิ่งที่เราเชื่อ แล้วก็สิ่งที่มันเข้ากับจริตของเราครับ

คิดว่าการจัดม็อบหรือการชุมนุมทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้บ้างไหม

มีครั้งที่สั่นคลอนและมีครั้งที่ไม่สั่นคลอน ก็รวมๆ กันหลายครั้งนะครับ อย่างทะลุแก๊สก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เห็นภาพรวมของความรุนแรงป่าเถื่อนของกลุ่มตำรวจบางนาย เราเห็นด้วยว่ามีตำรวจบางนายที่ยังมีสติอยู่ก็จะคอยห้ามเพื่อนตำรวจ คฝ. ด้วยกัน มันก็สะท้อนหลายอย่าง จนเห็นเป็นก้อนใหญ่ๆ อันหนึ่ง มันก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากนะครับ ในช่วง 2 ปีนี้ บางคนดูรู้สึกสิ้นหวัง เพราะว่าถูกซ้ำเติมด้วยโควิด แล้วก็ไม่รู้ว่าจะถูกซ้ำเติมด้วยน้ำท่วมอีกหรือเปล่า (สัมภาษณ์วันที่ 14 กันยายน 2564-บรรณาธิการ) เพราะมีพายุเข้ามา ก็ต้องให้กำลังใจกันไปครับ มานั่งไล่ผมก็นึกไม่ออกนะ แต่ก็มีหลายครั้งแล้วที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความสั่นคลอนกับรัฐบาล

ผมว่าครั้งนี้น่าจับตามากครับ พอ รมช.ออกไป มันทำให้เส้นเลือดใหญ่อันหนึ่งเกิดความสั่นคลอนสูงมาก เพราะว่าเมื่อเขารวมกันมันมีความแข็งแกร่งมาก แต่พอเขาแตกกันแล้วมันก็อ่อนแอมากๆ เช่นกัน

คุณคิดเห็นยังไงกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

ด้วยความที่มันมี New Low ซึ่งในความหมายก็คือจุดที่มันต่ำลงไปและมันก็ต่ำลงไปได้อีก ยิ่งเหตุการณ์ที่มีการปลดตำแหน่งรัฐมนตรีที่ผ่านมาก็สร้างความตื่นเต้นได้ในระดับหนึ่ง ในเรื่องของแบบว่า เฮ้ย มันจะเกิดอะไรขึ้น มันทำให้ชวนสร้างสีสันได้ ก็นั้นแหละครับ ก็ตื่นเต้นดี การที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของฝั่งเขาอะไรแบบนี้ 

ส่วนความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงนี้มันค่อนข้าง Miss Point บางอย่างในการแสดงออกของน้องๆ กลุ่มทะลุแก๊ส ซึ่งเรามองว่าด้วยช่วงวัยและสิ่งที่เขารับรู้มาบวกกันสองอย่าง ทำให้เขาแสดงออกมาในลักษณะนี้ เราเองที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและมีอายุมากกว่า ผ่านประสบการณ์และมีการควบคุมอารมณ์ที่ดีกว่าควรที่จะฟังเขาให้มากๆ และก็หาทางออกที่ดีกว่านี้ แต่แน่นอนเราเคารพในวิธีคิดของน้องๆ เพราะว่าน้องที่ทำอยู่รู้ว่ากำลังทำอะไร แต่อย่างที่กล่าวไปละครับวัยวุฒิและหลายๆ อย่างทำให้เขาแสดงออกมาในลักษณะนั้น

ทุกวันนี้รัฐบาลยังดูมีความน่าเชื่อถืออยู่ไหม

คำถามนี้มันควรจะหมดไปตั้งนานแล้วนะครับ มันไม่มีตั้งแต่แรกในสายตาเรานะ ไม่มีความเชื่อมั่นตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับว่าการรัฐประหารจะนำไปสู่สูตรสำเร็จอันง่ายดาย ไม่มีความเชื่อมั่นตั้งแต่ที่เรียกออกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งคนอาจจะมองแค่ผิวเผินครับว่าโอเค บ้านเมืองสงบ ก็สมเป็นไทยดีที่มองอะไรก็ผิวเผินไม่มีความลึกซึ้งหรืออะไร ไม่ได้คิดไกลกว่านั้น คนยังเชื่อมั่นในระบบคนดี ยังเชื่อมั่นในความเป็นคนดี เชื่อมั่นในตัวบุคคลที่โลเลได้ตลอดเวลามากกว่าเชื่อมั่นที่ระบบ

ถ้ารัฐบาลชุดนี้หมดวาระลงไปแล้ว คุณคิดว่าประเทศจะดำเนินไปในทิศทางใด

ต้องดูว่าระบบมันถูกปรับหรือยังครับ ถ้ากติกาหลายอย่างมันเหมือนเดิม ก็เหมือนแค่เปลี่ยนตัวแขนขาหุ่นเชิดเฉยๆ ซึ่งแน่นอนว่าหุ่นเชิดตัวนี้แย่ที่สุดละ (หัวเราะ) เรากลัวว่าหุ่นเชิดตัวใหม่จะออกมาประนีประนอมให้ทุกอย่างจะคลายลง แต่ก็กลับเข้าไปวนลูปเดิมที่ยังมองหาความเปลี่ยนแปลงได้ยากที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน

แต่แน่นอนว่าในระยะยาวของ Gen Z ผมให้กำลังใจน้องๆ เสมอว่า นี่คือรุ่นที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างจริงๆ ครับ ก็ขอให้เก็บความรู้สึกนี้ไว้ แล้วอันไหนที่มันสะท้อนความเป็นค่านิยมสลิ่ม ผมขอใช้คำนี้ ก็ขอให้ทิ้งมันซะ เพราะอย่างน้อยคุณเกิดในสังคมนี้ ความเป็นสลิ่มมันถูกฝังมาในสายเลือด ฝังมาในดีเอ็นเอ บางครั้งมันมีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นในการเบลมคนหนึ่งว่า คนนี้สลิ่ม มันก็มีความเป็นสลิ่มบางอย่าง ต้องสังเกตตัวเองดีๆ อย่าลืมหมั่นเช็คตัวเองนะครับว่าเรามีตรรกะเป็นแบบนั้นมั้ย เราโตมากับสังคมนี้ แน่นอนว่ามันถูกฝังมาในตัวเรา แม้แต่ตัวผมก็มี เราต้องรู้ทันวิธีคิดแบบนี้ด้วยตัวเองเสมอ

ในช่วงที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างชัดเจน เมื่อคุณพูดคำว่า ‘สลิ่ม’ ออกมา แล้วมีแรงกระแทกจากสังคม มันมีราคาที่ต้องจ่ายไหม แล้วที่คุณจ่ายไปมันคุ้มไหม

มีราคาที่ต้องจ่ายครับ การปฏิเสธของลูกค้าบางเจ้าทั้งที่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ แล้วก็เรื่องการถูก Capture ไปด่าก็มีเกิดขึ้น แต่ผมคิดว่าผมจ่ายน้อยกว่าคนอื่น เพราะว่าสื่อกระแสหลักเขาไม่ได้เล่นอะไรกับผม อาจจะเป็นข้อดีที่เราไม่ได้ถูกจับจ้องจากสื่อกระแสหลัก เพราะว่าเอามาทำข่าวยาก ราคาที่ต้องจ่ายเลยอาจจะไม่ได้สูงมากเท่ากับคนอื่นๆ แน่นอนว่ายอดวิวอาจจะลดลงเพราะว่าเราแรงเรื่องการเมือง แม้ว่าจะมีความคิดทางการเมืองฝั่งเดียวกัน ก็ไม่ได้อยากเสพข้อมูลอย่างนี้ครับ เพราะรู้สึกเครียด มันมีความเสียหายเกิดขึ้นครับ ยอดวิวต่ำลง สูญเสียฐานแฟนที่มีความเชื่อทางการเมืองอีกฝั่งหนึ่งไป ก็ถ้าเสียหายคงไม่หนักเท่าคนอื่นๆ ที่โดนกันครับ ถือว่าโชคดีไหม ก็ยังโชคดีครับ

รับชมบทสัมภาษณ์ อิสระ ฮาตะ Opinion Leader EP.02 มองทะลุแว่นของมนุษย์พ่อ นักท่องเที่ยว และคนเมืองกรุง

ภาพประกอบ: รายการ Subdar7, Instagram @isora.hata, @mafiamojo_photosyntesis

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า