fbpx

“ถ้าอยากเป็นนักแสดง การแสดงสำคัญที่สุด” เฟิร์น-นพจิรา กับ Full Circle ในวงการบันเทิงของเธอ

ฉันพบเฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล ในการสนทนาง่ายๆ ผ่านห้องวิดีโอคอลล์

มันอาจผิดวิสัยการสัมภาษณ์เพื่อผลิตคอนเทนต์สำหรับสื่อออนไลน์ไปสักนิด แต่ก็ช่วยไม่ได้-โรคะบาดจัดสรรให้เราต้องนั่งคุยกันผ่านหน้าจอแบบนี้

ฉันบอกคู่สนทนาตรงหน้าว่า ฉันติดตามหัวใจศิลาที่เธอเป็นนางเอก และชมมันอยู่หลายต่อหลายครั้งทั้งการออกอากาศรอบปกติ รอบรีรัน รอบมาราธอน หรือชมบนสตรีมมิ่งชื่อดัง คำเหล่านั้นทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เธอขอบคุณฉันพลางเล่าว่า นั่นคือการทำงานหนักครั้นหนึ่งในฐานะนางเอกที่ต้องแบกละครทั้งเรื่อง รวมถึงการประชันฝีมือกับนักแสดงคุณภาพคับคั่ง

เธอเป็นที่รักของแฟนๆ มากมายทั้งในแง่ของการเป็นนักแสดงก็ดี หรือนักจัดรายการวิทยุที่ Flex Station ก็ดี แต่กว่าเธอจะมีความสุขกับการทำงานทั้งหมดทั้งมวลในวงการบันเทิง เธอบอกเรานี่คือการค้นหาตัวเองที่หนักหน่วงที่สุด สู่การทำงานหนักที่เธอถูกเคี่ยวกรำและฝึกฝนอย่างเข้มข้น จนค้นพบสิ่งที่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ นำไปสู่ละครเรื่องล่าสุดที่ท้าทายความสามารถมากๆ อย่างห้องสุดท้ายหมายเลข 6

ใครหลายคนที่ยังไม่เคยรู้จักเธอ หรือกำลังคิดว่าย่อหน้าเกริ่นข้างบนนี้คือการพูดเกินจริงถึงสิ่งที่เฟิร์นกำลังจะเล่าให้เราฟัง เอาเป็นว่าเวลาเกือบชั่วโมงที่เรานั่งคุยกัน แววตา น้ำเสียง ท่าทางที่เธอส่งออกมาให้เราเห็นนั่นแหละ มันคงบอกได้ดีที่สุดแล้วว่าเธอรู้สึกดีกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ 

และเธอบอกเราว่า เธอมีความสุขกับมันมากที่สุด

1
มหาวิทยาลัย = การค้นหาตัวเอง

“ความฝันในวัยเด็กมันไม่ได้ชัดขนาดนั้นด้วยซ้ำ มันแค่รู้สึกว่าเราอยากทำงานที่มั่นคง มีหน้าที่การงานที่ดี สำพอแบบโตมาเราก็เห็นอะไรมากขึ้น แล้วก็ได้สำรวจตัวเองมากขึ้นว่าจริงๆ เราอยากทำอะไร คือการที่เราเรียนวิศวะฯ มามันเป็นอะไรที่เรียนตามกรอบ (ทางวิชาการ-บรรณาธิการ) แล้วก็ด้วยความที่เราก็เป็นครอบครัวลูกหลานคนจีน เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตเรามันก็จะเป็นอะไรตามกรอบที่ครอบครัวคาดหวังใช่ไหมคะ พอโตมาเราก็รู้สึกว่าเราอยากใช้ชีวิตที่ตามใจตัวเองบ้าง ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ มันก็เลยเริ่มได้ค้นหาตัวเองจากการทำกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย

“ด้วยความที่เราเป็นเด็กชอบทำกิจกรรม เราเลยรู้สึกว่ามหาลัยมันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่เราจะได้สนุกกับชีวิตวัยรุ่นที่ไม่ต้องรับภาระอะไรมาก ในช่วงเวลาของการเรียนมหาลัย 4 ปีสุดท้ายเราอยากให้เต็มที่ทั้งกิจกรรม ทั้งการเรียนไปด้วย เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเด็กที่เรียนกลางๆ ฉะนั้นการเรียนเราไม่ได้แบบโดดเด่นพุ่งปรี๊ด เราก็ต้องมีทักษะด้านอื่นๆ เราก็เลยเก็บประสบการณ์ในการทำกิจกรรม การรู้จักเพื่อนๆ ต่างคณะ ก็เลยเริ่มได้ทำพวกพิธีกรมหาลัย มีเชียร์ลีดเดอร์ก็ไป มีประกวดอะไรก็ไปอะไรอย่างนี้อะค่ะ คือเราก็รู้สึกว่าแบบอยาก Enjoy เน้นช่วงมหาลัยให้ได้มากที่สุด”

2
The Right Circle

“เพราะอย่างที่บอกว่าเราอยากใช้ชีวิตในแบบของเรา พอพอวันที่ได้ไปฝึกงานจริงๆ มันเลยรู้ว่ามันไม่ใช่วิถีชีวิตที่เราต้องการ ต้องตื่นแต่เช้า เข้างาน 8 โมง กว่าจะไปถึงไซต์งาน กว่าจะเลิกงาน เจอรถติด ถึงบ้าน มันเป็น Circle ชีวิตที่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำ เราคิดว่ามันไม่ใช่ Circle ชีวิตที่เราจะอยู่ได้นานจริงๆ 

“เราก็เลยรู้สึกว่า งั้นจะทำอะไรดี ทำธุรกิจของครอบครัว? ก็ได้นะคะ ณ ตอนนั้น แต่เราก็รู้สึกว่าเรียนมาแบบแทบตาย เราก็ใช้ชีวิตแบบตามกรอบของครอบครัวมาตลอด ฉันเรียนจบอะ ขออยากใช้ชีวิตตามใจตัวเองบ้าง ก็ประจวบกับการที่เราประกวดในมหาลัยแล้วเราไปประกวด ก็เจอแมวมอง ก็มาแลกคอนแทคเอาไว้ แล้ววันหนึ่งเขาก็ส่งรายการประกวดของช่องวัน 31 มาให้ เราก็เลยมาแคสติ้งดู แล้วปรากฏว่าเราก็ได้รับคัดเลือก ประกอบกับตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ใกล้เรียนจบพอดี ซึ่งเราก็ได้ทำงานเลย เราก็ได้เห็นกระบวนการทำงานส่วนหนึ่งจากตรงนั้นค่ะ 

“แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ว่าปักธงว่าจะมาทำอาชีพนี้จริงจัง เพราะพอมาอยู่ไปในช่วงเวลาที่เราเรียนไปด้วย เราก็ได้รับงานโปรเจ็กต์ละคร New Gen แล้วเราก็รู้สึกว่าสนุก โลกของละครทำไมมันแบบมันมหัศจรรย์จังเลย ทำไมเราถึงเชื่อเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำ เหมือนตกอยู่ในห้วงของการแสดงไป แล้วเราไม่เคยคิดเลยว่าเราจะทำได้มาก่อน พอได้ทำตรงนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะมี Potential ไปต่อนะ น่าจะลองทำดู ไม่เสียหาย”

“จุดเริ่มต้นของเฟิร์นคือมันมาจากความตื่นเต้น แล้วก็ความชอบ ความสนุกที่อยากจะลองทำ แต่ด้วยความที่ที่บ้านก็เป็นห่วง เฟิร์นก็เลยเลือกมีแผนสำรองไว้ เราก็ยังไม่ใช่คนที่แบบกล้าได้กล้าเสียขนาดนั้น เราก็เลยเลือกเรียนต่อปริญญาโทไปด้วย แล้วก็ทำงานไปด้วย”

3
ถ้าอยากเป็นนักแสดง การแสดงสำคัญที่สุด

“ตอนนั้นเราเซ็นสัญญา 1 ปี ก็ได้เข้าเรียนคอร์สแอคติ้งแบบเดี่ยวเลย เพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะไปได้ถึงตรงไหน จะเข้าใจมันไหม เพราะก่อนหน้านี้พอเราได้เซ็นสัญญาเข้ามาก็มีให้เรียนการแสดงอยู่แล้วนะคะ แต่เราก็จะเรียนกับคลาสแบบกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้เข้าใจความหมายของการแสดงมากนัก แต่พอเราเริ่มสนุกกับมันเราก็เลยคิดว่า ถ้าเราลองเรียนแบบคนเดียวจริงๆ หาคุณครูที่มาช่วยแก้ความบกพร่องหรือคำถาม หรือกำแพงในใจของเราที่มีต่อการแสดงเลยจะเป็นยังไง 

“พอได้ไปเรียนจริงๆ มันก็เลยยิ่งเปิดโลกเราเข้าไปใหญ่อีก เหมือนแบบได้สำรวจตัวเอง ได้สำรวจความคิด รู้สึกถึงตัวเองมากขึ้นด้วยซ้ำ ก็เลยทำให้เราเข้าใจว่าการแสดงจริงๆ คือการที่เราเรียนรู้อารมณ์ของตัวเองให้มากขึ้น เปิดเซนส์ของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อรับตัวละครอื่นๆ เข้าสู่ตัวเอง อะไรอย่างนี้อะค่ะ มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นจากตรงนั้น 

“เรารู้สึกว่าเสน่ห์ของการทำงานตรงนี้คือ การที่ได้เล่นเรื่องใหม่ ก็เหมือนนับหนึ่งใหม่ตลอด เหมือนได้พัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นงานที่ทำแบบแพทเทิร์นเดิมๆ จะมีอะไรให้เราได้ท้าทายตัวเองอยู่ตลอด

“วันที่เข้าฉากครั้งแรกคือละครรักฝุ่นตลบ มันเหมือนได้รับแรงบันดาลใจอะค่ะ ที่เราได้เห็นต้นแบบของความเป็นมืออาชีพว่าเขาเป็นยังไงกัน พอเห็นของจริงอะมันก็รู้สึกว่าอยากไปอยู่จุดนั้นที่พี่ๆ ถูกยอมรับในฐานะนักแสดง เป้าหมายของเรามันคืออาชีพนักแสดง เพราะฉะนั้นการแสดงมันก็คือสิ่งสำคัญที่สุด 

“พอได้เห็นของจริงมันก็ได้เห็นแรงบันดาลใจ ได้เห็นการทำงานของพี่ๆ แต่ละคน ก็จะมีกระบวนการทำงานที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราก็อะไรที่เราเห็นว่าเทคนิคสำหรับเขา แล้วเราเก็บมาใช้ได้อะไรอย่างนี้ก็จะขอซึมซับมาใช้ แล้วก็การได้ทำงานกับพี่ๆ ในวงการทุกคน พี่ๆ เขาเปรียบเสมือนครูของเฟิร์นหมดเลย เรื่องไหนที่เฟิร์นได้เจอนักแสดงที่มีฝีมือหลายๆ ท่านมันก็จะเหมือนการที่เราได้ประวัติ ได้เก็บโปรไฟล์ ได้ทดสอบตัวเองไปเรื่อยๆ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ เสมอ”

4
เราต่างเยียวยาซึ่งกันและกัน

“สิ่งที่เฟิร์นรู้สึกแปลกมากๆ คือเราได้รับความรักมหาศาล เฟิร์นขอใช้คำว่ามหาศาลอย่างนี้ (ทำท่าเปรียบเทียบ) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนอะค่ะ แต่มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่พวกเขาคอยส่งมาให้เราอยู่เสมอ เรารู้สึกว่าทุกๆ ผลงานของเรามันมีคนรอดูอยู่ ผลงานของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้จริงๆ ซึ่งตรงนี้มันเป็นอะไรที่เราดีใจมากเลยนะที่งานของเรามันให้อะไรกับคนอื่น เพราะว่าเราเข้าใจ เราก็มีคนที่เราชื่นชอบใช่ไหมคะ พอเราเจอเรื่องอะไรไม่ดี เราเห็นเขา เราก็รู้สึกดีขึ้นได้ เหมือนเป็นอะไรที่เยียวยาจิตใจเรา เพราะฉะนั้นในขณะเดียวกันเราก็เป็นอะไรที่สามารถเยียวยาจิตใจของคนอื่นได้เหมือนกันในวันที่เขารู้สึกแย่

“บางทีมีน้องมีแฟนคลับส่งข้อความมาว่า เขาเหนื่อยมากเลย แต่พอเขาดูผลงานของเราเขารู้สึกหายเหนื่อยเลย แค่นี้เราก็รู้สึกดีใจแล้ว เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่า งานของเรามันมีคุณค่ากับคนอื่น มันเป็นอะไรที่เราดีใจมากๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่เวลาเข้ามาที่ทำให้เรารู้สึกแย่ มันก็จะมีกลุ่มคนเหล่านี้ที่เป็นเหมือนคนข้างหลังของเรา ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราก็แข็งแรงขึ้นมาได้ 

“แต่สิ่งสำคัญเลยมันก็ต้องมาจากตัวของเราเองด้วยเนาะ ซึ่งโชคดีที่เราเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแรงพอสมควรอะไร แต่ว่าในขณะเดียวกันพอเรามองย้อนกลับไป ถ้าตัวตนของเฟิร์นในวันนั้นอะมันไม่แข็งแรงมากพอ มันจะเป็นยังไง มันยังมีคนอีกมากที่ไม่ได้เก่งกับการรับมือของคำพูดของคนอื่น ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่เศร้าอยู่ลึกๆ แต่ก็เหมือนเศร้าแทนคนอื่นอะ ที่บางคนเขาอาจจะผ่านตรงนี้ไปไม่ได้อะไร แต่ว่าก็โชคดีที่เราแบบสามารถเข้าใจแล้วก็ผ่านมันไปได้”

5
พื้นที่ของโอกาสขยายใหญ่ได้เสมอ

“เฟิร์นว่าการเข้าวงการบันเทิงมันต้องมีทั้งจังหวะที่ดี โอกาสที่ดี แล้วก็ศักยภาพของตัวเราว่าพร้อมไปกับมันหรือเปล่า ถ้าบอกว่าเดินเข้ามาเลยง่ายๆ ก็คงจะไม่ใช่ แต่ถ้าผ่านมุมมองของเฟิร์นมันมีทั้งความง่ายและความยาก สำหรับเฟิร์นอาจจะไม่ได้เข้ามายากมากนัก เพราะเราเดินเข้ามาด้วยความที่มันไม่ได้กดดันแล้วก็เข้ามาด้วยใจที่แบบโล่งๆ แต่พอเข้ามาอยู่แล้วเฟิร์นว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาพื้นที่ตรงนี้ที่เราได้รับโอกาสมา เราจะรักษามันยังไงให้มันขยายอาณาเขตได้มากขึ้น

“เฟิร์นมองว่าพื้นที่ที่เฟิร์นได้มาตอนแรก เฟิร์นอาจจะได้รับพื้นที่ประมาณแค่สี่เหลี่ยมจตุรัสใช่ไหม แต่เฟิร์นจะขยายพื้นที่ของเฟิร์นตรงนี้ให้กว้างขึ้น ให้เฟิร์นสามารถเดินได้กว้างขึ้น เดินได้สบายมากขึ้นให้พื้นที่ตรงนี้อยู่กับเราไปนานๆ แล้วค่อยสร้างความมั่นคงให้กับมัน ตรงนี้เฟิร์นว่าเป็นสิ่งที่ยากมากกว่าค่ะ เพราะว่าบางคนอาจจะมองว่าตอนแรกๆ ที่เฟิร์นเข้าวงการมา หลายๆ คนอาจจะบอกว่ามันจะมั่นคง มันจะอยู่ได้เหรอ จะเลี้ยงตัวเองได้ไหม แต่พอเฟิร์นปักธงว่าให้งานแสดงเป็นอาชีพ เมื่อคนเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง พอมันมีเป้าหมายแล้วเดี๋ยวมันจะหาทางไปถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ มันอาจจะช้า มันไม่ได้เร็วเหมือนคนอื่น แต่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

“ทุกครั้งที่เฟิร์นถูกกดดัน มันมีบ้างที่เราร้องไห้นะ แต่เราจะพูดอยู่เสมอว่า ‘เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่’ เราอาจจะไม่ได้เดินเร็ว ไม่ได้อยู่ในกระแสมากนัก แต่เรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เป้าหมายของเราคือการเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำการแสดงของเราให้แข็งแรง ให้ผู้ใหญ่เชื่อใจว่าสามรถหยิบเราไปใช้งาน ไปเล่นบทต่างๆ ได้ เพราะว่าเฟิร์นไม่ได้ตั้งเป้าตั้งแต่แรกว่าฉันจะมาเป็นนางเอก เฟิร์นตั้งใจจะมาเป็นนักแสดงแต่ในการพัฒนาตัวเองมันเลยทำให้เรามาอยู่ในจุดนี้ได้

“ดังนั้นเฟิร์นว่ามันไม่ใช่เรื่องฉาบฉวยนะ มันอยู่ที่ว่าคุณมองพื้นที่ตรงนี้แบบไหน ถ้าคุณจะมาแค่กอบโกยชั่วครั้งชั่วคราว มันก็ใช่ มันก็อาจจะไม่ได้อยู่กับคุณนาน แต่ถ้าคุณมองมันเหมือนอาชีพๆ นึง หรือมองเหมือนเป็นแบบเป็นลูก เป็นต้นไม้ที่คุณพยายามดูแลรักษา เพราะว่าสุดท้ายมันก็จะให้ผลผลิตหรือว่าความงอกเงยของมันกลับมาหาเราตามความตั้งใจที่เรามองมันค่ะ”

6
ห้องสุดท้ายหมายเลข 6

“เป็นละครที่ท้าทาย อย่างแรกเลยมันทำงานกับจินตนาการสูงมาก เพรระว่าเราไม่ใช่คนเห็นผี แต่เราต้องเล่นเป็นคนเห็นผี เราก็ต้องใช้จินตนาการ ใช้ความเข้าใจ แล้วก็ด้วยพล็อตเรื่องคือมันไม่ใช่ละครรักทั่วไป มันคือคนรักเก่าแล้วกัลบมาเจอกันใหม่อีกครั้งนึง ซึ่งพระเอกจะมีคนรักปัจจุบันของเขาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการถ่ายทอดอารมณ์มันก็จะยากแล้วก็ซับซ้อนกว่า 

“พอเราเล่นมาถึงจุดหนึ่งมันก็จะมีกำแพงใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งกำแพงของเรื่องนี้คือ เฟิร์นเข้าถึงบทไม่ได้ แปลกใจมั้ย (หัวเราะ) ที่หลายๆ คนบอกว่าร้องไห้ได้เต็มจอ ปัญหาที่เฟิร์นเจอตอนเล่นเรื่องนี้ ตอนแรกๆ คือ เฟิร์นร้องไห้ไม่ได้ มันกดดันทุกครั้งที่จะเดินเข้าฉากไปแล้วซีนนี้จะต้องร้องไห้ เราเครียดจนต้อง.ไปปรึกษาครูในเรื่องของการแสดงเลยถึง 2 ท่านด้วยกันเลยอะ ในการที่จะปลดล็อกตัวเอง มันไม่น่าเชื่อเลยนะที่เราเล่นละครดราม่าผ่านมา การร้องไห้คือเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ว่ากลับกลายเป็นเรื่องยากของเราอีกครั้ง เราเครียด แล้วเราก็กดดันด้วยคำพูดของคนอื่นโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวจากคำชมแบบ ‘น้องเป็นคนร้องไห้เก่งมาก’ ‘ร้องไห้ดีมาก’ มันเลยทำให้เรากดดันลึกๆ ในการร้องไห้ไปในตัว 

“เราก็ต้องทำความเข้าใจตัวละคร ทำความเข้าใจมวลรวมของตัวเราใหม่ เลยทำให้เราผ่านตรงนั้นมาได้ ก็เลยเล่นด้วยความแบบสบาย แล้วก็เล่นด่วยความรู้สึกใหม่ๆ แต่ก็สนุกดีค่ะเพราะว่ามันเป็นงานที่แปลกใหม่ เพราะเราแบบเข้าฉากกับพี่ๆ นักแสดงตลก มันก็จะเห็นการทำงานในรูปแบบของเขาอะไร ซึ่งพี่ๆ แต่ละคนต้องพูดว่าเป็นอัจฉริยะมากๆ เขาไหลลื่น ส่งมุกลื่นมาก มันทำให้เรารู้ว่าการเป็นตลกมันยาก เพราะว่าเป็นเรื่องของจังหวะแล้วก็ความแหลมคมในการยิงมุก ซึ่งท้าทายในการที่แบบต้องมารับบท ‘เพียงรัก’”

Modernist The Five
5 นักแสดงที่เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล
ยกให้เป็นที่สุดของการแสดง

1
กง ยู (คง ชีช็อล) 

ชอบมากกกกกก อันนี้คือแบบสุดยอดนะคะ 

2
นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา

อันนี้เป็นนักแสดงไทยที่แบบเฟิร์นชอบมากแล้วก็ดีใจมากๆ ที่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่เขาในหัวใจศิลา ถึงแม้ไม่ได้เข้าฉากด้วยกันบ่อย แต่เราก็ได้อะไรดีๆ จากพี่เขาเยอะเหมือนกันค่ะ 

3
อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม

คนนี้ก็เป็นดาราชายอีกคนที่เฟิร์นรู้สึกว่าฝีมือการแสดงของเขาเนี่ยเก่งมาก มีความเป็นธรรมชาติ 

4
ชาคริต แย้มนาม

เราประทับใจการแสดงของเขาจริงๆ สุดยอด ไหลลื่นมาก

5
กง ฮโย จิน

คนนี้เป็นไอดอลของเราแบบช่วงแรกๆ ที่เราทำงานเลยนะ เพราะเรารู้สึกว่าเขาด้วยหน้าตาเขามันเป็น Signature ในแบบของเขาที่อาจจะไม่ใช่พิมพ์นิยม ไม่ได้สะดุดตา แต่ว่าฝีมือการแสดงคือชนะเลิศ แล้วค่าตัวสูงมาก ใช่ ค่าตัวแพงมาก แพงจริงๆ เพราะด้วยฝีมือจริงๆ เรารู้สึกว่าเขาแบบสุดยอดจริงๆ

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า