fbpx

Doctor Strange ภาคล่าสุด กับความรักในทุกจักรวาล และความทะเยอทะยานที่บ้าคลั่ง

“ผมจะรักคุณไปในทุกจักรวาล”

ประโยคสุดโรแมนติกจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดระดับโลกในตอนนี้อย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness นั้น ไม่ได้เพิ่งจะมาติดลมบน เป็นคำฮิตจนเป็นเรื่อง Pop แบบใหม่ ชนิดพลุแตกได้ง่ายๆ หากแต่มันคือการเดินทางอันยาวนานของ Marvel Cinematic Universe ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ใช้เวลากว่า 10 ปีทีเดียว การเดินทางที่สะท้อนอิสระทางความคิดอันยาวนาน

การก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของ Marvel Cinematic Universe หรือ MCU ครั้งนี้ ถือเป็นเฟสที่ 4 ของเรื่องราวแล้ว และการก้าวข้าม “พหุจักรวาล” อันบ้าคลั่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ทำให้เราเห็นสิ่งที่ Marvel พยายามจะบอกกับผู้ชมผ่านการเดินทางข้ามมิติของเหล่าฮีโร่นั้น อาจจะมากกว่าการขยายจักรวาล แต่ยังถ่ายทอดเนื้อหาที่หนักกว่า ลึกกว่า ทั้งยังเต็มไปด้วยความโรแมนติกของเวลาอีกด้วย

หมอที่แปลก

หากจะย้อนกลับไปในปี 2016 ภาพยนตร์ Doctor Strange กล่าวถึงเรื่องราวเริ่มต้นของ Stephen Strange คุณหมอที่ “แปลก” แปลกทั้งชื่อและวีรกรรมอันมากมายของเขา คุณหมอ Christine เพื่อนร่วมงานประจำโรงพยาบาลของเขาพยายามชวน Steven มาแผนก ER หลายครั้ง แต่ความปากไว ยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ตามประสาคนเก่งแปลกๆ ของเขา บอกว่าเขาไม่อยากมาเป็นลูกมือเขียงหมูกับเธอ งานวิจัยเรื่องระบบประสาทและสมองของเขา อาจจะเป็นแนวทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคนได้เยอะกว่า แต่ถ้ามาอยู่ ER เขาจะช่วยได้แต่ขี้เมาที่ถูกยิง ซึ่งจะทำให้ประวัติเขาเสียเปล่าๆ

แนวความคิดของเขาตรงนี้ บ่งบอกว่า Stephen เป็นหมอโดยใช้วิชาชีพตรงนี้เชิดชูความเก่งให้ตัวเขามาเป็นอันดับแรก ส่วนการช่วยเหลือคนเป็นประเด็นรองลงมา เขาจะช่วยคนก็ต่อเมื่อไม่ทำให้ประวัติเขาเสีย หรือไม่ก็ช่วยเพื่อพยายามหักหน้าหมออีกคน แม้แต่ในการเดท เขายังพยายามชวนคุณหมอครีสทีนไปเดททั้งๆ ที่เขามีปาฐกถา ซึ่งเธอไม่เอาด้วย ถึงกับเข็ดและตั้งกฎเหล็กเอาไว้เลยว่า “กฎเหล็กที่เกิดจากวีรกรรม Strange”

แม้แต่ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เขายังเชื่อว่าถ้าเขารักษาตัวเองได้ มันจะออกมาดีกว่านี้ เขาโทษว่าเป็นความผิดของคุณหมอนิค ที่รักษามือเขาแบบมือไม่ถึง ทำให้ชีวิตเขาพังทลายหมด เพราะเขาคือสุดยอดนายแพทย์ที่เอาความเก่งของตัวเองเป็นที่ตั้ง เหนือความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์

“โลกของคุณ มีแต่เรื่องของคุณ” ครีสทีนได้กล่าวเอาไว้

การรักษา = การยื้อเวลา

“โดนกระสุนยิงเข้าสมองแบบนี้ยังยื้อไว้อีกเหรอ” ขี้เมาคนหนึ่งถูกกระสุนที่ฉาบตะกั่วยิงหัว แต่ Steven ไม่ได้ตั้งใจจะรักษาให้ จนกระทั่งเขาอยากจะโชว์เหนือต่อหน้าหมออีกคน แต่ทว่าจริงๆ แล้ว เขาก๋ไม่ใช่คนที่อยากยื้อเวลาใครเท่าไหร่นัก แต่ทว่าในวงการแพทย์ การรักษาคน ไม่ต่างอะไรจากการยื้อเวลาคนจากความตาย โดยการไม่ปล่อยให้คนตายไปตามธรรมชาติ ซึ่งสตีเฟ่นดันไม่ได้รักษาคนเพราะอยากจะยื้อเวลาใคร แต่เขารักษาคนเพราะเชื่อว่า มันต้องมีทางอื่นที่ดีกว่า มันต้องมีวิธีอื่นให้ลองสิ ซึ่งเป็นแนวคิดของคนที่มุ่งหาความเป็นเลิศด้วยการทลายข้อจำกัดของสติปัญญา มันต้องได้สิ มีทางอื่นอีกสิ

น่าเศร้า พอมาเป็นการรักษามือตัวเอง เขาลองใช้วิธีทางการแพทย์มาหมดทุกทางแล้วก็ไม่สำเร็จ ซึ่ง Christine เคยบอกกับเขาว่า “บางอย่างมันก็รักษาไม่ได้ อาจถึงเวลาที่ต้องมองอย่างอื่น ชีวิตที่ทำงานไม่ได้ ก็ยังเป็นชีวิต ยังมีวิธีอื่นอีกมาก ถ้าคุณอยากรักษาคน” 

แต่เขาไม่ฟังเธอ จนต้องไปพึ่งลัทธิเวทย์มนต์ในคามาทาช เพื่อหวังว่าเขาจะใช้เวทย์มนต์รักษามือตัวเองได้ จนเป็นต้นกำเนิดของฮีโร่าายพลังเวทย์ ที่เป็นตัวหมากสำคัญในการล้ม Thanos ได้ในศึกของเหล่า Avengers ในภายหลังเลยทีเดียว ฮีโร่ที่คนทั้งโลกรู้จักกันในชื่อ Doctor Strange

แต่อย่างไรก็ตาม เขาเลือกจะเชื่อว่า เวลา ไม่สามารถ “รักษา” ได้ทุกอย่าง มีบางอย่างที่เขาต้องเสียไป

เจตจำนงค์ vs. เผด็จการ

ประเด็นหลักสำคัญอีกอย่างของ MCU ในเฟส 4 นี้ สิ่งที่ภาพยนตร์และซีรีส์หลายเรื่องพยายามพูดเหมือนกันคือ “หากจักรวาลมีหลากหลายเส้นเรื่องราว ตัวละครทุกตัวมีสิทธิ์ที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วมีบางอย่างกำหนดเส้นทางอยู่ กำหนดว่าควรเลือกเดินไปทางไหน ชี้เป็นชี้ตายเราได้” 

ภาพยนตร์ที่พูดเรื่องนี้อย่าง Eternals ที่พยายามยุติกระบวนการของ Celessials หรือแม้แต่การพยายามรักษาตัวร้ายให้กลับมาเป็นตัวดีของเหล่าพี่น้อง Spider-Man ทั้งสามคนนั้น ต่างพยายามบอกคนดูว่า ในโลกเสรีแห่งพหุจักรวาล เราต่างสามารถเลือกกระทำสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า รวมถึงทลายกรอบของเผด็จการที่อาจจะมีใครพยายามคุมชะตาเราไว้ก็ได้ ซึ่งในซีรีส์ Loki ก็ยัง “ชายผู้คงอยู่” หรือ He Who Remain ที่ตั้งตัวขึ้นมาคุมเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้ Loki และ Sylvi ต้องสู้เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า ตัวแปรนอกเส้นเวลาอย่างเขาทั้งคู่ ไม่มีสิทธิ์จะมีชีวิตอยู่จริงหรือเปล่า ทั้งคู่ควรจะโดนฆ่าให้ตาย เพื่อรักษาความสงบสุขของจักรวาลไว้จริงหรือไม่

การฆ่าจะเพื่อคำตอบของการเลือกรักษาสิ่งหนึ่งไว้ นอกจากจะเป็นแนวคิดเผด็จการ​แล้ว มันยังเป็นแนวคิดของคนมีจินตนาการจำกัด Doctor Strange เคยกล่าวเอาไว้กับ Mordo เพราะแม้เขาจะไม่ได้อยากรักษาสิ่งอื่นไปมากกว่าตัวเอง แต่ความรู้นำเขามาไกลมากพอจะรู้ว่า มันต้องมีทางอื่นมากกว่าซ้ายหรือขวา หรือขาวกับดำ แม้เขาจะเป็นมหาจอมเวทย์ แต่เขาเรียนจบหมอ

“ทันทีที่เขาจบแพทย์ เขาปฏิญาณไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าใคร เขาอาจจะไม่รักคนอื่น แต่เขาไม่ฆ่าคน เขาจะใช้ชื่อ Doctor Strange เท่านั้น เพราะเขาเป็นหมอ! ไม่ใช่จอมเวทย์ ไม่ใช่อาจารย์ Doctor Strange!”

Stephen จึงใช้แนวคิดแปลกๆ นอกขนบของเขาอีกครั้ง เขาผสมผสานพลังของเวลา ความยืดหยุ่นของวิธีการรักษาสมดุล และใช้มันไปการต่อสู้หลายครั้งหลายคราว ซึ่งการต่อสู้เหล่านั้น ไม่ใช่การเอาพลังอันยิ่งใหญ่ไปหักลบเพื่อชนะ แต่เป็นการผสมผสานความเป็นไปได้อื่น เช่นการแพ้ได้ไม่รู้จักจบกับดอร์มามู หรือแม้แต่การเชื่อว่าเขาจะเป็นตัวแปรที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ และเคารพชีวิตจากมิติอื่นๆ เสมอเช่นเดียวกันกับเขา

ความเจ็บปวดของ Wanda

แม้จะเป็นที่ถกเถียงกันมากเหลือเกินว่า “การแหกกฎของ Wanda มันไม่แฟร์ที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวร้าย” นั้นมันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะจากสงครามของ Thanos เธอไม่ใช่คนเดียวที่สูญเสีย แต่พลังที่ยิ่งใหญ่ของเธอในฐานะ Scarlet Witch นั้น ก็ทำให้เธอต้องแบกรับความเจ็บปวดหลายอย่างมากกว่าคนอื่น ทั้งการเสียสละแม้กระทั่งความสุขของตัวเธอเองในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็ตาม

สิ่งที่ Wanda ต้องเผชิญทั้งในเหตุการณ์ที่ Westville จากเรื่อง WandaVision หรือแม้แต่หลังจากที่เธอได้คัมภีร์ Darkhold ไปแล้ว มันทำให้เธอตกลงไปในห้วงความคิดที่มืดหม่น จักรวาลนี้ไม่มีความสุขสำหรับเธออีกแล้ว เธออยากจะไขว่คว้าไปหาความสุขที่อื่น ที่ที่เธอจะพ้นจากความเจ็บปวดทั้งหมดในจักรวาลนี้

ซึ่งการกระทำของเธอ สอดคล้องกับคำพูดของ He Who Remain ที่เชื่อว่าไม่ใช่ตัวเขาเองทุกเวอร์ชั่นจะเป็นคนดี บางคนก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วงชิงอำนาจจากจักรวาลอื่น ซึ่งเขาเชื่อว่าหากมี “คนไม่ดี” ได้อำนาจที่มากเกินไป มันจะทำให้จักรวาลไร้ระเบียบ ไร้ความสงบสุข เขาและ TVA ต้องลุกขึ้นมาจัดการคุมทุกคนให้อยู่ในระเบียบ ด้วยหลักคิดแบบเผด็จการ

เพราะความเจ็บปวดเป็นเชื้อโรคร้าย ที่จะลามไปไม่ใช่สุดเขตของเมือง Westville หากแต่เป็นจักรวาลอื่นๆอื่นๆอีกด้วย และนั่นคือความบ้าคลั่ง

พลังของ America ตัวแทนแห่งเสรีภาพเหนือขอบเขต

Soft Power ที่เด่นชัดที่สุดคือการที่มีสาวน้อยที่อยู่ในโลกเหนือพหุจักรวาล มีพลังดวงดาวในการเปิดมิติและท่องเที่ยวไปที่ไหนก็ได้ พร้อมกับสวมเสื้อแจ๊กเกตลายธงชาติ เธอชื่อ America Chavez ที่แม้จะอยู่เหนือมิติไปแล้ว แต่ชื่อของเธอยังเป็นตัวแทนของเสรีภาพให้กับเรื่องราวในเฟสที่ 4 นี้

สาวน้อยละตินอเมริกาคนนี้ เป็นเหมือนหมุดหมายสำคัญของการเปิดประตูไปสู่ความเป็นไปได้อื่นๆที่จะเกิดขึ้นใน MCU รวมไปถึงเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่า “เสรีภาพ คือการที่เรามีโอกาสจะเป็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นได้” เธอคือคนที่สะท้อนให้เห็นว่า โอกาสที่จะจินตนาการถึงโลกใบใหม่ เรื่องราวใหม่ ตัวเราในอีกตัวตนหนึ่ง ที่เพิ่มทางเลือกให้เรา เพิ่มความเชื่อว่าเราจะสามารถมีอีกเรื่องราวนึงได้อย่างอิสระ เป็นความทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในพหุจักรวาลแห่งความบ้าคลั่งนี้

แม้จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่ชื่อของ America Chavez จะถูกจารึกเป็นหนึ่งหัวหน้าทีม Young Avengers ที่จะสู้กับตัวร้ายในระดับพหุจักรวาล ที่อาจจะกำลังคุกคามความเป็นไปได้บนหลักคิดเสรีภาพ เพื่อดึงให้ทุกคนกลับมาอยู่ในกำกับของเผด็จการอย่างว่าง่ายก็เป็นได้

ความรัก คือสิ่งนำทางในทุกจักรวาล

“ไม่สำคัญว่าฉันกับคุณเป็นอะไรกันในจักรวาลนี้”

“สิ่งที่สำคัญคือ คุณมีความสุขหรือเปล่า สำหรับฉัน ที่นี่ฉันมีความสุขดี”

เมื่อ Doctor Strange ได้ค้นพบคนรักในจักรวาลอื่น จักรวาลที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมและเรื่องราวใดใดร่วมกับ Christine เธอยังคงสุขสบายดี และสานต่องานที่เขาทิ้งไว้ในจักรวาลของเธอ พร้อมกับการยืนหยัดได้ด้วยตัวของเธอเอง 

นอกจากสติปัญญาแล้ว ความรักนำทาง Stephen มาไกลมาก แต่ไม่อาจไปไกลได้กว่านี้ แต่นั่นคือสิ่งที่ยึดโยงทุกชีวิตในจักรวาลไว้ด้วยกัน คือการค้นพบและได้เรียนรู้กับความรัก ซึ่งเป็นโอกาสที่เราจะได้ตกหลุมรักและเรียนรู้กับสิ่งต่างๆได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แม้ตัวละคร Christine จะเอาชนะใจ Strange ได้ และทำให้เขาเรียนรู้ว่าเส้นทางของคนเก่งสองคนนั้นไม่มีทางมาบรรจบกัน และเธอก็จะใช้ชีวิตในฐานะของหมอรักษาคนปกติหรือรักษาฮีโร่ในบางครั้งต่อไปในทุกทุกจักรวาล และการตกหลุมรักและเรียนรู้จาก Christine ของ Strange ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นอนันต์ในจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด

Christine ทำให้ Strange รู้ว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้ แม้แต่ในสงครามระหว่างจักรวาล เขาต้องยอมปล่อยให้เธอเดินไปคนละเส้นทาง เพื่อรักษาความเป็นนิรันดร์ของพหุจักรวาลไว้นั่นเอง

สิ่งที่ MCU พยายามจะส่งไม้ต่อให้กับคนดู คงไม่เพียงแค่การให้เห็นความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งอย่างไม่สิ้นสุดในโลกภาพยนตร์แฟนตาซี แต่ยังส่งผ่านข้อความสำคัญที่เต็มไปด้วยเสรีภาพอันสวยงาม ละเอียดซับซ้อนและลึกลับผ่านการเดินทางของห้วงเวลา โดยเชื่อว่าความรัก เป็นสิ่งสวยงามเสมอ แม้แต่ในภาพยนตร์ฮีโร่ที่มีกลิ่นอายสยองขวัญ

เพราะไม่ว่าจะจักรวาลไหน เราจะเชื่อว่าจะมีตัวเราอีกคนที่ดีกว่า ตัวเราอีกคนจะยืนหยัดและเฝ้าระวังให้กันและกันเสมอ และนั่นอาจสำคัญกว่าการที่เรารักกัน

และเราจะเดินทางเพื่อตามเสรีภาพของมันไปในทุกๆ จักรวาล

ภาพประกอบ: Marvel Studios

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า