fbpx

นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่เขียว กับชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. ในคราบ Pop Culture

จากผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ถล่มทลายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาว กทม. ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงกันอย่างท่วมท้น จนส่งผลให้ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้คะแนนท่วมท้นชนิดกลายเป็นประวัติศาสตร์คะแนนที่สูงสุดของการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ถึง 1,386,215 คะแนน (นับคะแนน 95 เปอร์เซนต์)

กระนั้นแม้จะเป็นการรับภาระงานและหน้าที่จากประชาชนตามคำพูดของคุณชัชชาติ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชัยชนะนี้ เป็นปรากฎการณ์ที่กลายเป็น Pop Culture ทางการเมืองที่น่าสนใจ

ตลอดการเดินทางอันยาวนานของคุณชัชชาติจากวันที่โดนปิดตา ล็อกมือเข้าค่ายทหารในวันที่เกิดรัฐประหาร เป็น 8 ปีที่ผู้ว่าคนใหม่ไม่ใช่แค่เป็นนักการเมืองคนสำคัญที่มีเรื่องราวอันยาวนานบนถนนการต่อสู้ เพราะ “ชัชชาติผู้แข็งแกร่ง” เป็น Meme ในโซเชี่ยลมาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน และปรากฎการณ์ในโลกออนไลน์นี้ นำไปสู่คะแนนล้านเศษแบบทิ้งห่างผู้สมัครท่านอื่นได้อย่างไร

แข็งแกร่งและมาก่อน

แม้จะมีประวัติการศึกษาและการทำงานที่ยาวและทรงคุณวุฒิ แต่ในรอบสิบปีที่ผ่านมาคุณชัชชาติ มีบทบาทสำคัญมาก่อนเรื่องราวการเคลื่อนไหวอันร้อนแรงในโซเชี่ยลจะเกิดขึ้นเสียอีก ตำแหน่ง รมต.คมนาคม ในรัฐบางคุณยิ่งลักษณ์ และการพยายามดันโปรเจ็ครถไฟในราคาสองล้านล้านในวันนั้น ดูจะเป็นจุดจี้ใจคนไทย ถึงขนาดโน๊ส-อุดม แต้พานิช ถึงขนาดเอาไปล้อเลียนในเดี่ยว 10 ว่า “ช่วยผ่อนเองได้ไหม” เพราะตอนนั้นการเสียเงินสองล้านล้านเอาไปสร้างรถไฟ เป็นการลงทุนที่แพงเสียไม่มี

เมื่อรัฐประหารเทโครมทุกอย่างลงหลุ่ม คุณชัชชาติที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งรัฐบาล ถูกลิดรอนสิทธิ์และลากเข้าค่ายทหารเป็นเวลา 7 วัน ก่อนที่โปรเจ็คการเบิกจ่ายสองล้านล้านจะถูกเปลี่ยนมือไปสู่ศาล ที่จะเป็นฝ่ายพิจารณางบประมาณก้อนนี้ นำไปสู่วลีในตำนาน “รอให้ถนนลูกรังหมดไปก่อน” จากวันนั้น คุณชัชชาติย้ำชัดว่าสิ่งที่แพงกว่าเงินสองล้านล้านสำหรับสร้างรถไฟคือเวลา เวลาจะเป็นราคาที่แพงที่สุดอย่างที่ใครๆก็นึกไม่ถึง

เวลาจ่ายไป 8 ปี มาครบรอบวันรัฐประหาร 22 พฤษภาคมอีกครั้ง ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งที่ 12 พอดี การเลือกตั้งผู้ว่าที่ส่งผลคะแนนให้คุณชัชชาติชนะอย่างถล่มทลาย แลกกับเวลา 8 ปี กว่าจะทำให้คนไทยอย่างน้อยก็ในกรุงเทพเห็นแล้วว่า นอกจากถนนลูกรังจะไม่หมดไปแล้ว การกู้สองล้านล้านเพื่อมาสร้างระบบรถไฟยั่งยืนนั้น มันน้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับการรัฐประหารที่ไม่สามารถตรวจสอบการเบิกจ่ายอื่นๆที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาทได้ เงินหลายพันล้านบาทจมหายไปในรอบ 8 ปี โดยที่ชีวิตคนไทยได้รถไฟที่ค่าโดยสารแพงกว่าค่าครองชีพหลายสิบเท่าตัว

การชนอย่างแข็งแกร่งของคุณชัชชาติเดินทางข้ามเวลาได้จริงๆ

สู่ Pop Culture ที่โด่งดัง

ในเชิงหลักการทางการเมืองที่ซับซ้อนเกินกว่าจะให้ทุกคนลุกขึ้นมา “ตาสว่าง” กันได้ แต่เพียงแค่การใส่ชุดเสื้อกล้ามธรรมดา ถือถุงแกงเดินเท้าเปล่าไปทำบุญ ในวันหลังจากโดนรวบตัวไปในค่ายทหาร ก็กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ทันที จนเกิดเป็น Meme ที่ Parody ลุคของชัชชาติพร้อมคำว่า “แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”

ความแข็งแกร่งที่ทำงานร่วมกับความฉาบฉวยของโลกออนไลน์ ที่ตีความภาพการออกมาทำบุญของคุณชัชชาติในวันนั้นว่าเป็นชุดที่ไม่ต้องทางการมาก การเดินด้วยเท้าเปล่า และด้วยความที่คุณชัชชาติก็มีรูปร่างที่ดูแข็งแรงจากการออกกำลังดายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นภาพจำที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ชาวเน็ตทั้งหลายนอกจากจะทำ Meme ล้อกันมากมายแล้ว ยังหาซื้อเสื้อมาใส่ตาม เป็นภาพจำและกระแสจนกลายเป็น Pop Culture ขึ้นมาอยู่พักใหญ่ ชนิดที่ว่า “ชัชชาติ Fever” ก็ไม่ผิดนัก

ตามปกติแล้ว Pop Culture มักจะทำงานได้ดีกับสิ่งที่เป็นสื่อบันเทิง ส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ หรือศิลปินที่มีภาพจำง่ายและชัดเจน Pop Culture จึงจะสามารถทำงานและกลายเป็นมูลค่าที่ต่อยอดได้ อาจจะเป็นโปรดักส์ งานขาย หรือกระแสที่ดึงทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม

แต่ทว่า “ชัชชาติ” ซึ่งเป็นนักการเมือง กลับสามารถกลายเป็น Pop Culture ขึ้นมาได้ แม้แต่ในวันที่สังคมยังไม่มีการตื่นรู้ทางการเมืองอะไรมากมาย แม้แต่คนที่ไม่ได้ใส่ใจการเมือง ก็สามารถขำไปกับมุก “ชัชชาติไม่ได้วิดพื้น แต่โลกยุบตัวลงเพราะเขากดมันลงไป” ได้ เขากลายเป็นต ตัวละครสำหรับความบันเทิงในโลกออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหาทางการเมืองประกอบร่วม

ชัชชาติไม่ได้เป็น Pop Culture แต่ Pop Culture เลือกชัชชาติก็ว่าได้

ชัชชาติ เลือกที่จะใช้พลังของ Pop Culture

ด้วยวัย 56 ปี (นับในปี 2565) ก็อาจจะนับได้ว่า คุณชัชชาติ เป็น “มนุษย์คุณพ่อ” ทั้งในชีวิตจริง และด้วยวัยทางสังคม แต่เมื่อกระแสชัชชาติ Fever เริ่มทำงาน คุณชัชชาติเอง ก็ไม่ปฏิเสธหรือผลักให้เป็นเรื่องไกลตัว แม้จะเป็นเรื่องต่างวัย แต่ก็ยังรับเอาวัฒนธรรมที่ถือเป็นของใหม่ เข้ามาอยู่ในกระบวนการทำงาน และเริ่มทำความเข้าใจมันมากขึ้น

ซึ่งการโอบรับเอาวัฒนธรรม Pop เข้ามาอยู่กับตัว ทำให้คุณชัชชาติลดช่องว่างระหว่าง Generation ไปโดยปริยาย การเปิดเพจ การ Live และใช้ “ชุดทำบุญเท้าเปล่า” เป็นภาพจำอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้การเข้าถึงในยุคที่โลกดิจิตอลมันเชื่อมต่อกันทั้งหมด เป็นประโยชน์ต่อการสานต่อการทำงานของตัวเขาเอง

ในปี 2562 คุณชัชชาติเคยถูกเชิญให้เป็นคณะกรรมการร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จากคณะ คสช. คณะรัฐประหารที่เคยเอาถุงคลุมหัวปิดตา มัดมือ แล้วก็มาเชิญเขาไปร่วมงานอีกที ในช่วงเวลาเดียวกับที่วงไอดอลอันโด่งดังเพิ่งจะไปจับมือกับนายกที่มาจากรัฐประหาร คุณชัชชาติปฏิเสธการเชิญนั้นด้วยคำว่า “แก่นแท้ของกลยุทธ์ คือการเลือกว่าอะไรไม่ควรทำ”

ดูเหมือนว่าการจับมือกับคนที่เคยลิดรอนสิทธิ์ของเราไป กับการไปกับ Pop Culture ที่ดูไร้สาระ กลับมีน้ำหนักที่ต่างกันมาก เมื่อหักลบกับเวลาที่ผ่านไป 8 ปี

จุดแตกหักของความอดทน

เมื่อการทำงานของผู้ว่าราชการที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่เป็นที่พอใจของชาว กทม. นัก รวมถึงบรรยากาศการเมืองและการทำงานของรัฐบาลที่ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจในหลายระดับ ทั้งในกติกาอย่างรัฐสภา และนอกกติกาอย่างการลงถนน รวมถึงการระบาดของ COVID-19 ที่การบริหารจัดการที่ดูเหมือนเป็นการเหยียบซ้ำให้ช้ำลงไปอีก ทำให้สภาพ กทม. นั้นชอกช้ำ และเต็มไปด้วยความอดทนที่รอวันจะระเบิดออกมา

คะแนนล้านกว่าที่ทิ้งห่างผู้สมัครที่เหลือ ทำให้เห็นว่าชาว กทม. ที่ออกมาเลือกชัชชาติกว่าล้านเสียงนั้น ไม่ได้มองการเลือกตั้ง กทม. เป็นแค่การเลือกตั้ง แต่เป็นการแสดงเสียงบางอย่างในกติกาอย่างเป็นรูปธรรม และถือเป็นจุดสิ้นสุดของความอดทน

ระยะเวลา 8 ปี สะท้อนว่าคนกรุงต้องการคนที่ปลีกอิสระออกจากระบบการเมืองเก่า แต่ก็ต้องพอมีแบคและเส้นสายอยู่บ้าง ไม่ใหม่เกินไปจนไร้ประสบการณ์ และประสบการณ์ ก็ต้องเป็นคนที่สะสมมานานเป็นหลายปีซะด้วย ก็ต้องนับว่ามาตรฐานคนกรุงสูงขึ้นมาในรอบ 8 ปี แล้วชัชชาติเดินทางมาไกลเพื่อมาลงล็อคตรงจุดนี้ คือเดินนำมาก่อนหลายก้าว ตั้งแต่รัฐประหาร จนทำให้ผู้สมัครคนอื่นๆ ต่อให้หาเสียงลงพื้นที่หนักแค่ไหน ก็กลายเป็นโดนเปรียบเทียบทันที 

พ่วงด้วยเทคโนโลยีที่สามารถสืบค้นประวัติ และการเข้าถึงอำนาจในการตรวจสอบของคน กทม. ที่อาจจะมีเป็นศูนย์กลางมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ทำให้ผู้ใช้สิทธิ์สามารถตรวจสอบผู้สมัครทุกคนได้ทันที ไม้เว้นแม้แต่ตัวคุณชัชชาติเอง

จากบทสัมภาษณ์โดย The Standard ที่ถามผู้สมัครผู้ว่าเรื่องฮีโร่ที่ชอบ คุณชัชชาติ เลือก Thanos ซึ่งเป็นวัฒนธรรม Pop อีกตัวที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียง ซึ่งการตรวจสอบวัฒนธรรม Pop ตัวนี้ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เพราะ Thanos เป็นตัวร้ายที่มีระบบคิดแบบเผด็จการ 100% ต้องการฆ่าคนไปครึ่งจักรวาลเพื่อแก้ปัญหาทรัพยากร เครื่องมือการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ก็สามารถลุกขึ้นมา Call Out ได้ทันที ว่าแนวคิดแบบนี้ คุณชัชชาติอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะปัญหาหลายอย่าง ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการดีดนิ้ว 

แม้จะไม่ถูกต้องในเชิงหลักการ แต่ภาพจำของ Thanos เป็น Pop Culture สากลที่ประสบความสำเร็จ และสร้างภาพจำที่แข็งแรงมากพอ ไม่ต่างจากชุดออกกำลังถือถุงแกงเดินเท้าเปล่าไปทำบุญ ในวันที่ทุกคนยังไม่เข้าใจรายละเอียดของโครงสร้างการเมือง

ยิ่งเห็นได้ชัดมากขึ้นเพื่อคุณชัชชาติได้ตำแหน่ง กลุ่มคนที่มองคุณชัชชาติเป็นอีกขั้วทางการเมือง ก็เหมือนจะตื่นตัวขึ้นมาตรวจสอบคุณชัชชาติโดยทันที ว่า กทม. จะเป็นไปตามนโยบายที่เคยกล่าวถึงไว้หรือไม่ แม้การตรวจสอบจะมาไวทันทีในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง และทำงานกับเฉพาะคุณชัชชาติเท่านั้น แต่ดันไม่ทำงานย้อนหลังไปหาอำนาจที่เคยคลุมหัวและมัดมือคุณชัชชาติย้อนไปก็ตาม

ผู้นำที่ทลายความคิดของความเป็นผู้นำ

“โลกขาดเราได้ เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

ประโยคหมัดสุดท้ายแห่งความแข็งแกร่ง ที่คุณชัชชาติทิ้งทวนไว้ก่อนวันเลือกตั้ง คือหนึ่งในคำที่จี้ไปยังต้นตอของอีกปัญหาที่ฝังรากลงไปในสังคมไทย

แต่ไหนแต่ไรคนไทยชอบผู้นำเบ็ดเสร็จ ที่ฟ้าประทานลงมาให้แก้ปัญหาต่างๆง่ายๆราวกับดีดนิ้ว แต่ผู้แทนในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ทำงานแบบนั้น ผู้แทนคือตัวแทนอำนาจของประชาชน ทันทีที่ได้รับตำแหน่ง คือการถูกยึดโยงกับประชาชน คือการรับใช้ และการถูกตรวจสอบอย่างทันท่วงที รวมถึงการจะแก้ปัญหาต่างๆ ต้องมีกระบวนการที่ต้องใช้ความร่วมมือกับหลายฝ่าย การสร้างการระดมสมอง พื้นที่ในการเจรจาต่อรอง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย 

ด้วยความที่เป็นจุดแตกหักของความอดทน ดังนั้นเสียงที่เลือกคุณชัชชาติจึงอาจปะปนไปด้วยคนที่เลือกผ่านหลักคิดของการได้ผู้นำแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดรวดเร็วแบบ Thanos ซึ่งการดึงเอาอำนาจนอกระบบมาตรวจสอบ หรือการใช้ความ “เด็ดขาด” มากกว่าการระดมสมองคิดนั้น เป็นทิศทางที่เอื้อไปสู่ระบอบเผด็จการได้ง่ายกว่า การตีความคำว่า “ผู้นำ” จึงต้องถูกนำเสนอความหมายใหม่ให้เกิดการเข้าใจตรงกันเสียก่อน

“ผมไม่มองว่ามันคือชัยชนะ แต่มันคือการรับคำสั่งจากประชาชน”

ดังนั้น ในฐานะประชาชนที่เป็นเจ้าของเสียง เรามีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของคุณชัชชาติอย่างโปร่งใส ใช้อำนาจในกติกา และเป็นเหตุเป็นผลต่อไป ในฐานะเจ้าของอำนาจใน กทม. ซึ่งหากการเลือกตั้งนี้เป็นการเริ่มต้นสร้างมาตรฐานประชาธิปไตยใหม่ มันอาจจะสามารถต่อยอดไปเป็นต้นแบบให้การเลือกตั้งแบบนี้เกิดขึ้นได้ในท้องถิ่นอื่นๆนอกกรุงเทพ ให้ประชาชนทั้งประเทศได้ตระหนักว่า 

“เสียงของเรามีความหมายเหนือกว่าผู้นำ”

เพราะเราทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของวัฒนธรรม และมันจะ Pop หรือไม่ Pop นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจในมือของเราเอง

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า