fbpx

จุดเริ่มต้นที่ไม่คาดฝันของไบร์ท นรภัทร จากนักแสดงธรรมชาติสู่พระเอกแถวหน้าของช่องวัน 31

ไบร์ท-นรภัทร วิไลพันธุ์ คืออีกชื่อหนึ่งที่จะถูกพูดถึงเสมอ ถ้าให้เรานึกถึงนักแสดงมากฝีมือของช่องวัน 31

ถ้าให้เทียบกับละครบ่ายเรื่องแรกที่เขาเคยเล่น มาจนถึงผลงานล่าสุดอย่างใต้หล้า ละครน้ำดีที่ว่าด้วยเรื่องความหวังและความดีที่เขาทุ่มสุดตัว นั่นคือเครื่องพิสูจน์ที่ง่ายที่สุดถึงพัฒนาการที่เขาคนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกลายเป็นที่ยอมรับในวงการ

เพราะการได้มาซึ่งบทพระเอกแต่ละเรื่องของเขา ย่อมมาจากความพยายามทั้งสิ้น

เรื่องราวหลังบ้านของไบร์ทในวันนี้จึงเริ่มตั้งแต่การที่เขาเป็นเน็ตไอดอลด้วยความบังเอิญ จนนำไปสู่การแคสติ้งเพื่อเป็นนักแสดงด้วยความบังเอิญ และการจับพลัดพับผลูได้เล่นละครแบบไม่บังเอิญ เพราะต้องต่อสู้ พัฒนาตัวเอง และผ่านทางแยกแห่งการตัดสินใจหลายครั้ง จนกลายเป็นนักแสดงที่ยืนอยู่ในวงการได้อย่างวันนี้

และเพราะการที่เราได้คุยกับเขาอย่างไม่คาดฝัน ทำให้เราได้พบกับเรื่องราวจากปากของพระเอกคนนี้ 

ที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเช่นกัน

เน็ตไอดอล (?)

สมัยเด็กผมไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นกับโลกใบนี้ ฉันจะอยู่ของฉันแบบนี้ จนมันเริ่มมาพลิกผันแถวๆ นั้นแหละ มันเหมือนเป็นจังหวะชีวิตของผมเลยนะ คือเริ่มแรกก็เหมือนมีคนรู้จักประมาณหนึ่งที่โรงเรียน ก็เริ่มมีเพจชุดนักเรียน เพจ Thailand Cute Boy แล้วคนก็เริ่มมาตามไอจีเยอะขึ้น ตอนนั้นเริ่มขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นแล้วก็ตกใจละ พออันนั้นลงปุ๊บ ผมก็ไปโดนกระทืบที่บางแสนแล้วก็เป็นข่าวดังเลย (หัวเราะ) 

คือตอนนั้นผมไปงานรับปริญญารุ่นพี่ที่ ม.บูรพา เป็นผู้หญิงหมดเลยนะ แล้วเขาก็ไปมีเรื่องกัน ผู้จัดการร้านผู้ชายก็มาเคลียร์ แล้วผมเป็นผู้ชายคนเดียวทั้งโต๊ะ เขาจะเข้ามาตบผู้หญิง ผมก็เลยไปคุยให้ฉุนผมอีก ทีนี้พากันเดินออกมาจากร้าน แล้วเค้าก็เดินมาต่อยผมจากข้างหลัง ผมก็เลยต่อยเขากลับไป แล้วพนักงาน 10 กว่าคนก็มารุมกระทืบผม แล้วก็เป็นข่าว สมัยก่อนมันจะมีเพจ YouLike (คลิปเด็ด) เค้าก็เอาคลิปกล้องวงจรปิดไปลง และก็คลิปที่เราออกมาแถลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนเขาก็ไปแชร์กันเยอะมาก ก็เลยกลายเป็นคนรู้จักเพิ่มขึ้นมาอีก ตอนนั้นกลายเป็นคนดังบางแสนไปเลยในช่วงนั้น แล้วก็มี TU Sexy Boy เข้ามา กลายเป็นที่รู้จัก ก็เลยได้มีโอกาสเข้ามาออดิชั่นที่ช่องวัน 31

ห้องนั้นทำให้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกเลย

ตอนนั้นพี่แด๊ด (ผู้จัดการ) ชวนมาออดิชั่น คิดว่ามันก็คือโอกาสหนึ่งที่ถ้าเราไม่ทำมัน ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเรา แต่ถ้าเราทำแล้วมันไม่ได้ มันก็ไม่ได้มีผลอะไรเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำแล้วมันได้ขึ้นมา มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วนะ มันคือการเปลี่ยนแปลงชีวิตกับในทางที่เราไม่คิดจะไปเลย ชีวิตมันจะพุ่งไปอีกทางหนึ่งเลย เราก็เลยคิดว่าลองดูสักหน่อยก็ได้ ไม่ได้เสียหาย แล้วก็มั่วๆ เข้ามาตอนนั้นทำอะไรไม่เป็นเลย แสดงก็ไม่เป็น ไม่กล้าแสดงออกด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็เป็นเด็กเกเรๆ คนนึงที่ไม่เอาอะไรเลยกับโลกใบนี้ แล้วมาออดิชั่นก็มีแต่คนแบบ โห แม่มาส่ง เรียนการแสดงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราก็แบบ อะไรวะเนี่ย จากบ้านนั่งรถตู้ไปฟิวเจอร์ (พาร์ค รังสิต) ก่อน แล้วนั่งรถตู้จากฟิวเจอร์ไปหมอชิต แล้วนั่ง BTS จากหมอชิตไปอโศก แล้วก็นั่งวินไปตึกแกรมมี่ ลำบากมาก ลำบากแบบลำบากไปไหน ต้องเผื่อเวลา 3 ชั่วโมงเวลาจะมาแต่ละที รู้สึกท้อแท้มาก แต่ก็ตอนได้คัดเลือกก็ดีใจนะ และนั้นคือจุดเริ่มต้น

เมื่อรู้ว่าเรียนวิศวะฯ ไม่ไหวแล้ว

ผมรู้ว่าตัวเองเรียนไม่ไหว ตอนนั้นจบปีหนึ่งดรอปไปสามสี่ตัว เพราะว่าต้องถ่ายละครไปด้วย เรียนอย่างเดียวก็จะตายแล้ว เรียนก็ยาก ที่ SIIT ธรรมศาสตร์ ไม่ได้อะลุ่มอล่วยกับการที่เรามาทำงานนะครับ แล้วก็คณะที่เรียนต้องเข้าเรียนจริงๆ ถึงจะรู้เรื่อง หลังๆ คือไม่ได้เข้าเรียน แต่คะแนนเช็คชื่อไม่ได้เยอะนะ เราก็ไปเรียนพิเศษเอา ก็รู้ตัวเองว่ามันไม่ไหวอะ ออกกองถ่ายตั้งแต่ 7 โมงถึง 4 ทุ่มอย่างนี้ จะอ่านหนังสือตอนไหน แล้วอ่านบทไหน ตอนไหนอีก เราต้องตัดสินใจว่าต้องทิ้งอย่างหนึ่ง 

ตอนนั้นลังเลมากจะทิ้งเรียนก็สงสารพ่อแม่ ที่บ้านก็ไม่ได้รวยนะ ค่าเทอมก็แพงมาก หลักแสนกว่าบาท ค่าเรียนพิเศษก็เป็นแสน แล้วตอนขึ้นปี 2 หมดไปห้าแสนได้แล้วมั้ง ถ้าลาออกก็คือจบเลย เหมือนห้าแสนนั้นโยนเงินทิ้ง สุดท้ายแล้วก็ทิ้งที่ SIIT แล้วมาทำงานตรงนี้ แล้วขอทุนกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพเอา ตอนนั้นคือจุดเริ่มต้นของการไม่ขอเงินที่บ้านเพราะรู้สึกผิด

การบริหารจัดการเวลาให้เรียนได้ ทำงานดี

ข้อดีของ ม.กรุงเทพ เค้าอะลุ่มอล่วยเรื่องนักแสดงมาก เราเป็นทุนศิลปิน เลยสามารถเอางานที่เราทำมาเชื่อมโยงกับวิชาที่เราเรียนได้ ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนทีวีโปรดักชั่น เราถ่ายละครอยู่ เราก็ถ่ายรูปไปให้เขาดูว่ามันเป็นยังไง แล้วก็มาเขียนมาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ แล้วมันตรงกับที่เรียนยังไง พอใกล้กลางเทอม เราก็มาทำสรุปทุกวิชาแล้วก็ส่ง พอไฟนอลก็ทำสรุปแล้วก็ส่ง เพราะวันถ่ายละครมันจะล็อกอยู่แล้วว่า จันทร์ อังคาร พุธ เพราะงั้นเราก็จะมีเวลาว่างอีก 4 วันถ้าถ่ายเรื่องเดียว มันก็จะมีเวลาทำอย่างอื่น ออกกำลังกายสักวันหนึ่ง อีก 3 วันอาจจะทำงานกลุ่มบ้างที่มหาลัย ก็ต้องเอาตามที่เราว่าง แต่เราก็จะไปเป็นพิธีกรให้ ไปพรีเซนต์ให้ แต่ว่าไม่ทำพวกข้อมูลเพราะเราไม่มีเวลาทำ

ดอกแก้วกาหลง ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

จำได้เลยว่าซีนแรกที่ถ่ายคือ ซีนปาไข่ เรื่องมันประมาณว่าผมเป็นลูกคนรวยแล้วที่บ้านเหมือนจะเอาที่ดินของตลาดชาวบ้านไปก่อสร้างอะไรไม่รู้ เราก็นักธุรกิจก็มาดูที่ว่าจะเอาไปทำตึก แล้วชาวบ้านก็เกลียดเราไง เพราะว่าไอ้นี่มันจะมาไล่ที่พวกเรา ทุกคนมันจะมาไล่ที่ พวกเราปาไข่ใส่มัน ปักๆๆ ไข่เต็มตัวไปหมด เหนียวหนึบหนับเลยแล้วก็แค่ปาไข่อย่างนั้นน่ะ คนมันเยอะนะมาซีนแรกก็เจอเอ็กซ์ตร้า 20 คน แล้วผมแบบกล้องอยู่ไหนวะ หากล้องเล่นไปบทก็จำไม่ค่อยได้ เดินไปเดินมามือไม่รู้จะไว้ไหน เดินๆ เอ้า ไปบังกล้องเค้าอีก ซีนแรกซีนเดียวก็ถึงเที่ยงอะครับ

แล้วให้กลับไปดูไม่ดูอีกแล้วนะครับ ใครแท็กมาผมบล็อกเลยครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ ใครแท็กมาผมก็ขอบคุณครับ กดหัวใจทีหนึ่งแล้วผมก็ปล่อยผ่าน ผมไม่รีโพสต์อะไรทั้งนั้น ผมเขิน ล่าสุดช่องวันออกแอพฯ ใหม่มาชื่อแอพฯ oneD อย่างแรกที่ผมทำคือเสิร์ชก่อนเลย ดอกแก้วกาหลง ขอให้ไม่เจอ แต่ก็เจอ ไม่โอเคเลยอะ ไม่อยากเห็นอีกแล้วอะ (หัวเราะ) แล้วตอนฉายทีวีมันรีรันมากกว่าห้าครั้งนะ ทุกวันนักขัตฤกษ์ คนดูจะแท็กๆ มาแล้วก็แบบ ทำไงดีวะอยากรีลงสตอรี่นะ แต่เรื่องอื่นได้ไหมอะ (หัวเราะ)

การเป็นพระเอกที่ไม่สวยงามอย่างที่คิด

ผมเริ่มงานในวงการแล้วเป็นพระเอกเลย เลยต้องเก่งขึ้นมันจะเกิดความรู้สึกอย่าง “ทำไมวะ”  แล้วก็มาเพิ่งรู้ว่าต้องเก่งขึ้นทำไม ตอนหลังๆ เริ่มโดนด่า รุมประชาทัณฑ์ ด่าบ้างไรบ้างว่า เล่นแข็ง เล่นธรรมชาติจัง เหมือนหินเหมือนต้นไม้เลย หน้าอ้วนอีก ตัวผอมแต่หน้าอ้วน ผมโดนเยอะมาก ตอนนั้นคืองงมาก แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงอะ ก็หน้าผมอ้วนอะแต่ตัวผอมมากเลยนะเบบี้แฟตด้วยอะ ก็ทำไรไม่ได้ ก็ก้มหน้าก้มตาไปถ้าคนด่ากันตรงๆ อะนะ แต่ถ้าเป็นพวกคอมเมนต์ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คนชมเยอะ ด้วยความใหม่ด้วย เค้าก็เลยชมเยอะว่าหล่อ แต่เล่นดีไม่มีนะ มีแต่หล่อกับเล่นเหี้ยสองอย่าง (หัวเราะ)  แต่เรตติ้งดีนะ กระแสตอบรับดี คนตามไอจีขึ้นมาเยอะเลยตอนนั้นเล่นเรื่องเดียวก็ดีอยู่นะ

กว่าจะพอใจในตัวเอง

ผมได้เล่นสายรัก สายสวาท ช่วง 10 ตอนสุดท้าย เรื่องนี้คนชมเยอะเพราะตอนท้ายได้ซีนทั้งเรื่องเลย นักแสดงก็ใหม่ทั้งเรื่องเหมือนกัน ผมก็พูดไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างพูดเร็วหนักมาก สงสารพี่ปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ) มากเลย แต่พี่ปุ๊ยนี่เก่งมากเลยนะครับ กำกับเด็กที่เล่นไม่เป็นให้ออกมาดีได้ เขาคอยบอกว่า ‘เดี๋ยวไบร์ทวางแก้วตรงนี้’ ‘กลับมาเอามือไว้ตรงนี้’ คือกำกับไปแล้วเหมือนเชิดหุ่นอะ อย่างนั้นเลย แต่ขอบคุณพี่ปุ๊ยมากๆ เพราะกำกับจนละครออกมาดี คนก็ชอบ ผมไปอ่านในพันทิปมาอยู่คนชมเยอะนะ แบบโอเคเลยอะ ก็เป็นที่รู้จักขึ้นไปอีกเพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นรุ่นพ่อรุ่นลูก มันมีรุ่นพ่อมาก่อนแล้วผมเป็นรุ่นลูก เรื่องที่สองก็ดูทรงดี

เริ่มต้นแย่ก็จริง แต่ต้องสู้เพื่อบทที่ใฝ่ฝัน

โห เอาจริงๆ ก็รู้สึกดีนะที่โดนเรียกว่าลูกรัก แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สื่อหลายที่ก็คิดว่าเราเป็นลูกรัก ได้ละครตลอด ต่อเนื่อง แต่ความจริงแล้วอะ การแข่งขันสูงมากๆ ไม่ใช่ว่าใต้หล้ามา พี่ต่อ (ธนภพ ลีรัตนขจร) เป็นพระเอก ไบร์ทเล่นเป็นตัวนี้ดิ ก็แข่งขันครับ ออดิชั่นทั้งนั้น เกือบทุกเรื่องเลยนะ ไม่งั้นคนอื่นมันจะคิดยังไงอะ แบบไบร์ทเล่นอีกแล้ว แล้วคนที่ยังว่างอยู่อะ คือทุกคนออดิชั่นหมดเลยนะครับ เขาจะแปะบอร์ดไว้ว่าคนนี้เหมาะกับคาแรคเตอร์ตัวนี้ หยิบมาๆ 7-8 คนแล้วเรียกมาออดิชั่นกัน ผู้หญิงผู้ชายเหมือนกันหมดมันไม่ได้มาง่ายๆ อยู่ที่นี่คือไม่ใช้คำว่าป้อนงานอะ ใช้คำว่าแย่งงาน ใครเร็วคนนั้นก็ได้ ต้องไฟต์ตลอดเวลา แล้วผมเป็นคนที่เข้ามาแล้วไม่ใช่คนเก่ง เข้ามาเป็นแบบเวอร์ชั่นไอ้บ๊วย สภาพนี่แย่มาก เล่นก็ไม่ได้ หน้าก็ไม่ดี ผมเผ้าแต่งตัวก็แย่ ไม่รู้เข้ามาได้ไง ฟลุ๊คๆ เข้ามานั้นแหละ แต่โชคดีที่เราเริ่มต้นได้แย่อะ คือเค้าจะเห็นพัฒนาการของเรา มันจะดูไปไกลกว่าคนอื่นทั้งที่บางคนเค้าเริ่มมาเค้าดีกว่าเรา แต่พอเราแบบเมื่อก่อนนะมันจะอย่างงี้ๆดูตอนนี้สิมันได้ละนะเห็นมั้ยๆ ฟังแล้วก็รู้สึกดี

การตีความปลดล็อกทุกอย่าง

มันเก่งขึ้นมาจากประสบการณ์ส่วนหนึ่ง คือพอมันกังวลน้อยลง เครียดน้อยลง กลายเป็นว่ามันเก่งขึ้นนิดนึง พอได้ลองเรียนตีความเท่านั้นแหละ เข้าใจเลย เริ่มรู้ว่า อ๋อ มันต้องอย่างงี้เหรอ คำนี้มันไม่ได้ ให้จำแบบเราต้องไปคิดต่อว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ พูดแบบนี้ เพื่อให้เค้ารู้สึกอะไร ซีนนี้ทั้งซีนเนี่ยต้องการอะไร อยากได้อะไร เพื่ออะไรเป้าหมายชีวิตในตัวละครคืออะไร เพิ่งมารู้ตอนเป็นนักแสดงมา 3 ปี แล้วตอนเด็กๆ ก็ต้องเล่นตามบทไป เปลี่ยนบทเดี๋ยวคนเขียนบทด่าอีก เดี๋ยวเล่นแบบนี้เดี๋ยวโดนด่าอีก มันถูกตีกรอบ มันเลยเล่นไม่สุด พอได้เรียนไปมากๆ เรารู้สึกว่าเราปลดล็อกความสามารถเรื่อยๆ เลยกลายเป็นว่าเราเริ่มสนุกกับงาน เริ่มสนุกกับการทำตัวละครว่าแบบตัวละครนี้ชีวิตเป็นยังไง 

ยกตัวอย่างสมมติละครเรื่องใต้หล้า เราต้องมานั่งทำว่าเฮ้ย มันก้าวร้าวเพราะอะไร เราต้องมานั่งคิดว่า อ๋อ บ้านรวยนะ พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วพ่อทำอะไรบ้าง อ๋อ ทำงานกลับบ้าน เจอกันไหม เอ้า ไม่เจอ อ้าวแล้วอยู่บ้านกับใครอะ อ๋อ อยู่คนเดียว อยู่กับคนใช้ อ๋อ เหงาอะดิ แสดงว่ามันเป็นคนเหงามาก เพราะฉะนั้นมันก็ต้องหาอะไรทำไปเรื่อย เรียกร้องความสนใจอยู่แล้วเพราะเหงาอะ แล้วพ่อคาดหวังเรา ด่าเราไม่เคยชมเรา สิ่งแรกที่ต้องการคืออะไร คือคำชมจากพ่อตัวละครนี้ต้องการคำชมจากพ่อ ‘หิรัญ เก่งมากลูก’ คือสิ่งเดียวที่ต้องการ ไม่ว่าพ่อจะสั่งอะไรแต่บังเอิญว่าพ่อเราเป็นคนสายดำทำธุรกิจสายดำ ใช้วิธีทางลัดอะ ติดสินบนบ้าง รุมกระทืบบ้าง แก้ปัญหาผิดวิธี เราก็เลยจำวิธีพ่อมาเพื่อมาทำแบบพ่อ เพื่อพ่อจะได้มาชมเรา เราเลยกลายเป็นคนเป็นคนเลว นั่นคือที่มาเนี่ยต้องทำแบบนี้ทุกเรื่องคือมันมีเยอะกว่านี้นะ

เพิ่งตกหลุมรักการแสดงก็คราวนี้

คือเพิ่งมารัก เมื่อพอทำได้แล้วมันสนุกแล้วมันก็รัก ตอนแรกๆ ทำเพราะเงิน เพราะว่าเด็กมหาลัยหาเงินได้ก็ดีใจแล้ว แต่ว่าหลังๆ เริ่มสนุกละ เริ่มรู้สึกว่ามันได้เจอคนใหม่ๆ ตลอด เพราะว่าเราไม่อยากอยู่ออฟฟิศ คือพ่อผมเป็นวิศวกร ก็เคยไปดูที่ทำงานเค้านะตอนเรียนวิศวะแรกๆ อยากรู้ว่าเค้าทำงานยังไงกัน ก็ไปดูห้องทำงานเค้า เรารู้เลยว่าเราไม่อยากอยู่อย่างงี้ พอได้มาถ่ายละคร มันก็ได้เป็นแบบความบังเอิญ ได้พบเจอคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มชอบเริ่มสนุกกับการที่ได้เจอคนใหม่ๆ มันไม่จำเจดี กลายเป็นคนที่เหมือนได้ท่องโลกมากขึ้น เพราะว่าถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ ก็คืออยู่บ้านเล่นเกมส์ไปนอน แล้วก็ตื่นแล้วก็เล่นเกมส์กินข้าวอยู่แค่นี้ ไม่ทำอะไรเลย ก็ต้องขอบคุณงานที่ทำให้เราได้ออกไปเจอคน

วิธีจัดการกับ Bad Day ในแบบฉบับของไบร์ท

อันนี้ยากจริง แต่เรื่องการแสดงเนี่ยเชื่อว่าทุกคนเป็นหมดแหละ แบบอยู่ดีๆ ก็จำบทไม่ได้ทั้งๆ ที่เราก็เตรียมตัวเหมือนทุกวัน บทยาวกว่านี้ก็จำได้ มันอ๊องอะ เหมือนพูดๆ อยู่แล้วสติมันหลุด แล้วก็จะเจื่อนๆ ไป ไม่รู้จะพูดอะไร พูดไปก็พูดผิด มันแย่ แล้วมันก็จะแย่ยาวไปเลย ต้องมีอะไรมาเบรคตัวเองเอาไว้ ไอ้วันที่บอก Bad Day วันนั้นคือว่าที่ถ่ายซีนออฟฟิศมั้ง เป็นวันของเราทั้งวัน รู้สึกว่าเป็น Bad Day มาก จำอะไรก็ไม่ได้ เล่นผิดๆ ถูกๆ ทำไมผู้กำกับคัทบ่อยจัง อ๋อ คัทเพราะเรา เราเลยเซ็งมากเลย แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ แต่ไม่ได้เต็มร้อย แต่ผ่านแบบดูรู้เรื่องเลยแบบนอนละกัน ตอนเที่ยงเลยไม่กินข้าว แล้วนอนพอตื่นมาเหมือนทุกอย่างมันรีเซ็ต เราก็กลับมาเป็นปกติแล้วก็ไม่นึกถึงเรื่องกลางวันเลย เราก็พยายามทำตัวแบบแสร้งว่าเรามีพลังขึ้นมา ก็เป็นทริคในแต่ละวัน แต่จริงๆ ก็มีหลายแบบแหละ

บทตัวร้ายครั้งที่สองในชีวิต

ใต้หล้ามันแบ่งเป็น 4 ช่วงอายุเลยนะ เพราะฉะนั้นจะได้เห็นการเติบโตของตัวละครนี้ หนึ่ง-ตอนเด็กๆ มัธยมก็อาจจะเป็นเด็กเกเร ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ด้วยความเป็นเด็กมัธยม สอง-วัยมหาลัย อันนี้จะเริ่มเป็นแผนเป็นการมากขึ้น เจ้าเล่ห์มากขึ้น แล้วก็กำลังหลงระเริงแบบเต็มพิกัดเลย สาม-ช่วงทำงานตอนแรก อันนี้เข้าสู่โหมดจริงจัง คือชีวิตของหิรัญต้องไปสืบทอดธุรกิจ พ่อคาดหวังว่ามันต้องทำได้ แต่มันทำไม่ได้ ก็โดนด่าอยู่อย่างงั้น ก็ต้องหาวิธีทำให้ได้ จนสุดท้าย-ช่วงผู้ใหญ่ ช่วงตอนกลับใจมันไม่ได้ร้ายแบนๆ แบบนั้นมันร้ายแบบมีมิติ แล้วมันจะเกิดอะไรสักอย่างที่ทำให้กลับใจ ต้องไปลองดู 

คนดูจะได้อะไรจากใต้หล้า

ได้ดูนักแสดงมากฝีมือหลายๆ ท่าน ศิลปินแห่งชาติ (นพพล โกมารชุน) เลยนะ เรื่องนี้ทุกคนเก่ง ไม่ใช่แค่นักแสดงทีมงานก็เก่ง พี่สันต์ (ศรีแก้วหล่อ) ผู้กำกับนี่นักล่ารางวัลอยู่แล้ว พี่เจี๊ยบ (วรรธนา วีรยวรรธน-ผู้เขียนบท) เหมือนกับคู่หูพี่สันต์เลย คนเขียนบทล่ารางวัลเหมือนกัน เราคาดหวังให้โปรเจคนี้เป็นโปรเจคต์ที่ดี หมายความว่าเป็นละครน้ำดี ไม่ใช่ตบตีไปวันๆ เราอยากให้เป็นที่พูดถึงตลอดไปว่านี่คือละครดี แล้วคนดูก็จะได้มุมหลากหลายด้าน เสียดสีสังคมแน่นอน 100 เปอร์เซนต์ ละครนี้ออกไปอาจจะดราม่าได้ แต่ก็อยากให้ดราม่าในทางที่ดีแล้วกัน

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า