fbpx

“หมาดำ” จากละครวิทยุสู่ละครเสียง 2021 และสูงสุดคืนสู่สามัญในวัย 70 ปีของกันตนาฯ

หากพูดถึงบริษัทที่ทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์และละครไทย ชื่อของ กันตนา คงเป็นชื่อแรกๆที่หลายคนนึกถึง ด้วยการดำรงอยู่กว่า 70 ปี พร้อมฝากผลงานจอแก้วและจอเงินไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ละครเขย่าขวัญเรื่องดังอย่าง ห้องหุ่น (2546) และตุ๊กตาผี (2562) ไปจนถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เล่าประวัติศาสตร์อย่าง สุริโยทัย (2544) เรียกว่าตลอดช่วงระยะเวลากว่า 7 ทศวรรษนี้ กันตนายังคงสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมทุกวัยมาโดยตลอด

แต่หากย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ใครเลยจะรู้ว่าแท้จริงกันตนาไม่ได้เริ่มต้นบนเส้นทางของละครจอแก้ว แต่เส้นทางความฝันที่แสนยิ่งใหญ่นี้ เกิดขึ้นจากการจัดละครวิทยุโดยคู่สามีภรรยาตระกูลกัลย์จาฤก ในปี พ.ศ. 2494 ก่อนจะเริ่มขยับขยาย และพัฒนาจนเป็นกันตนาที่เราๆคุ้นเคยเช่นในปัจจุบัน

จาก 2494 ถึง 2564 ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของกันตนาที่เป็นดังเลือดเนื้อและลมหายใจของบ้านกัลย์จาฤก The Modernist ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ ติ้ว-นฤชล กัลย์จาฤก ในทุกแง่มุมการทำงาน จากนักแสดงละครเวทีและทายาทรุ่นที่ 3 สู่การเป็นผู้กำกับ ซึ่งนำเอาจุดเริ่มต้นอย่างละครวิทยุมาปัดฝุ่น และหยิบหนึ่งในบทละครเขย่าขวัญอย่าง หมาดำ มาร้อยเรียงขึ้นใหม่ ผ่านสายตาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อนำพาผู้ฟังทุกท่านให้พรั่นพรึงไปกับตำนานความหลอนในรูปแบบละครเสียงกับ Kantana Audio Drama หมาดำ 2021

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

องก์ที่ 1
นฤชล กัลย์จาฤก

แรกเริ่มจบการศึกษาจากที่ไหน

ติ้วจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการละคร ละครเวทีค่ะ  เพราะจบมาทางนี้ เราเลยชอบด้านนี้เป็นพิเศษ ซึ่งแรกเริ่มจริงๆเลยที่เริ่มชอบละครเวที เพราะตอนเด็กๆถูกแม่หล่อหลอมมาด้วยดิสนี่ย์ ดังนั้นเราก็จะโตมากับการร้องเพลงเหล่านี้ หรือถ้าเอาโตกว่านั้นหน่อย แม่ก็เปิด Phantom of the Opera ให้ดู เราก็แบบ “ฉันอยากอะ” แม่พาไปดูพี่เบิร์ดของรัชดาลัยงี้ก็ “ฉันอยากอยู่บนนั้นอะ” แต่เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร จับพลัดจับผลู ม.6 ไปสอบแล้วติด แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสอนละครเวที โชคดีที่เข้าไปแล้ว “เฮ้ย นี่แหละทางที่ใช่”  โชคดีที่เราเจอความชอบ จากนั้นก็เริ่มตระเวนออกไปออดิชั่นที่นู่นที่นี่ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็สนุกดี เลยอยู่ในสายละครเวทีมาซะเยอะ อย่างเรื่องที่ติ้วชอบมากเลยก็คือ นิทานหิ่งห้อย ของสยามพิฆเนศ ซึ่งมันเป็น re-stage กับอีกเรื่องคือ บุปผาราตรีเกือบจะมิวสิคัล สนุกมากค่ะ เป็นสองเรื่องที่ไปแสดงแล้วชอบที่สุดละ ได้ทำอะไรที่ชอบเราก็มีความสุข คุณแม่เองก็มีความสุข

คือจากวันแรกจนถึงวันนี้คุณแม่ก็ให้การสนับสนุนมาตลอดนะคะ คุณแม่เลิฟมาก (หัวเราะ) นึกภาพออกมั้ยคะ เวลาที่เห็นรูปนักแสดงเล่นมิวสิคัลไรงี้ เขาก็จะแบบ “ลูกฉันๆ” เขาชอบมากค่ะ เพราะได้เห็นเราทำสิ่งที่เรารัก เขาก็ส่งเสริมทุกทางเป็นแฟนคลับตัวยง ไปดูทุกเรื่องทุกรอบเลยค่ะ

จากการสนับสนุนของคนรอบตัวที่เป็นเหมือนกำลังใจให้เรามาโดยตลอด แล้วเคยมีสักครั้งมั้ยที่การแบกนามสกุลนี้เป็นอุปสรรคสำหรับเรา 

มันมีหลายครั้งมากค่ะ ที่พอเรามีนามสกุลติดไปด้วย เราก็จะถูกมองสองแง่ทันที เคยโดนถามตั้งแต่ “หล่อนเส้นเข้ามาหรือเปล่า” หรือว่า “หูย มันทำได้จริงหรอ” จนถึงแบบ “แกๆ ออดิชั่นเข้ามาป่ะเนี่ย” คือมันเป็นคำถามที่กวนใจเรามาโดยตลอดนะคะ แต่ถ้าถามว่าตอนนั้นแก้ยังไงเหรอ เราฉีกขาใส่เขาไปเลย (หัวเราะ) แบบเตะสูงให้รู้เลยว่าเราทำได้ เอาจริงๆหลายคนอาจไม่รู้ แต่คำสบประมาทพวกนี้คือคำที่พี่ๆรุ่นเรารวมทั้งตัวเราเจอมาโดยตลอด เช่น พี่สตางค์ที่เป็นนางแบบ หลายคนสบประมาทว่า “เฮ้ย แม่ช่วยหรือเปล่า แม่ดันหรือเปล่า” แต่ใครจะรู้ว่าพี่ตางค์ก็วิ่งแคสต์งานในลอนดอน ในยุโรป ในนิวยอร์ค ล้มขาถลอกปอกเปิก คือไม่มีใครรู้หรอก แต่ติ้วเชื่อว่าสุดท้ายเรื่องพวกนี้จะถูกพิสูจน์ได้ด้วยความสามารถของเรา แต่คือกว่าจะไปถึงตรงที่เราพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นมันก็กดดันนะ มันเหมือนเราแบกนามสกุลเราไว้ ทำดีก็เท่าตัวทำเสียก็พังกันไปเลย คืออย่างตอนเริ่มแคสต์เนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจะแคสต์แล้ว หรือไม่ต้องแคสต์ละได้เล่นเลยนะ เราโชคดีที่เข้าไปในสังคมเด็กละครแล้วรุ่นพี่เขาเปิดทางไว้ให้แล้ว เขาก็จะบอกเราเลยว่าวันนี้จะมีออดิชัน เตรียมตัวนะ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่เราละต้องเตรียมตัว เตรียมเพลง ไปนั่งรอแต่เช้า นั่งต่อแถว แต่กว่าจะได้ก็หลายเวทีเหมือนกันค่ะ 

ก็เลยกลับไปที่จุดเดิม การมีนามสกุลนี้มันเหมือนเราต้องทำให้สมกับนามสกุลน่ะ เหมือนเราแบกเอาไว้ คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ติ้วคิดนะ ดังนั้นเราจะต้องบอกตัวเองตลอด ว่าเราอยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้ทุกอย่างต้องมาจบที่รุ่นเรา 

จากวันที่เข้าคณะ เริ่มแคสต์จนถึงวันที่ยืนบนเวที ประสบการณ์ทั้งหมดตรงนั้นให้อะไรเราบ้าง 

นอกจากศาสตร์ของการแสดง อย่างแรกเลยคือ ติ้วรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้เลือกเรียนคณะนี้ เพราะว่า ศาสตร์ละครเวทีเนี่ย มันเรียนเรื่องมนุษย์ มันทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น เหมือนการเรียนจิตวิทยาน่ะค่ะ พอเราเข้าใจคนมากขึ้น เราก็จะไม่มองอะไรด้านเดียว โดยเฉพาะการวิเคราะห์ตัวละคร ตัวละครนี้พื้นเพเขาเป็นยังไง เจออะไรมาถึงทำให้เป็นแบบนี้ พอเข้าใจแล้วความโกรธ หรือความรู้สึกของเรามันก็น้อยลง เหมือนมันเพิ่มความเป็นมนุษย์และความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่สิ้นสุดให้กับเรา ซึ่งอันนี้ติ้วเคยถามตัวเองเลยนะ ว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้เลือกเรียนคณะนี้ ความคิดของเราจะถูกปิดกั้นมั้ย อย่างตอนเริ่มทำงานที่นี่แรกๆเราก็กังวลเลยว่าเราจะทำได้มั้ย ไม่ตรงสายเลย เราจะไปอยู่ตรงไหน แต่สุดท้ายเราก็ค้นหาจนรู้ว่า เราก็แค่ปรับความคิดสร้างสรรค์ของเราให้เข้ากับงานใหม่ๆ ที่มันเข้ามา

แต่ย้อนกลับไปนิดนึงความฝันจริงๆของเราไม่ใช่การมาทำงานที่นี่เลยนะ จริงๆอะเราอยากไปเล่นบรอดเวย์เลย ฝันไกลมาก ซึ่งจริงๆเมื่อประมาณปีก่อนโควิดอะค่ะ ตั้งใจจะไปเรียนเธียร์เตอร์ต่อที่ลอนดอนแต่สุดท้ายก็ปีกหักกันหมด ดับฝันกันถ้วนหน้า ถามว่าเสียใจมั้ยก็มีบ้าง แต่สุดท้ายด้วยสิ่งที่เราแบกแม้มองไม่เห็น เรารู้ตัวว่าเราไม่มีทางอยู่บนเวทีได้ตลอดไป มันยังคงเป็นความชอบส่วนตัวของเราเสมอ เราคิดนะ สักวันหนึ่งเราคงมีโอกาสได้ทำมันด้วยตัวเอง เราอาจจะช่วยเป็นอีกหนึ่งแรง เพราะอย่างน้อยเรามีต้นทุนที่จะช่วยขยับวงการนี้ให้มันไปไกลกว่านี้ ดูจากเกาหลีก็ได้ วงการละครเวทีแม่งเป็นที่ยอมรับเหมือนกันใช่มั้ย แล้วคนไทยมีศักยภาพ มันน่าเศร้านะที่คนไทยไม่ได้เสพศิลปะขนาดนั้น แต่ไม่เป็นไรเราชอบเราอยากให้มันขยายวงกว้างมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่ามันจะมีคนชอบเหมือนเรา 

เมื่อเส้นทางละครไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง อะไรทำให้ตัดสินใจกลับมาช่วยกันตนา  

จริงๆ แล้ว พอติ้วเรียนจบยังไม่ทันสองเล่ม เล่มธีสิสแสดงเสร็จ ติ้วก็เข้ามาทำงานที่นี่ทันทีเลยค่ะ เพราะพี่สาวติ้วให้คำแนะนำ ด้วยความที่เขาผ่านประสบการณ์ตรงนี้มาแล้ว เขาบอกว่า พอเรียนจบแล้วไปเรียนต่อเลย เราอาจจะไม่มีประสบการณ์ แล้วเราอาจจะไม่รู้ว่าเราชอบอะไร ขาดอะไร ก็เลยอยากให้ลองทำงานดูก่อน ซึ่งติ้วก็เข้ามาทำส่วนของ Artemis Talent Agency ดูแล The Face ขยับมาทำเบื้องหลัง มาขายงานลูกค้า ซึ่งตอนแรกเราก็กลัวว่า “หูย เรียนละครมา จะทำได้มั้ย” ให้มานั่งอ่านสัญญาเราก็อ่านไม่ออกมั้ยอ่ะ แต่กลายเป็นว่า เราไม่เสียใจเลยที่เราเริ่มจากศูนย์หรือติดลบ ณ วันนี้เรามีความสุขมาก รู้สึกได้เลยว่าการเริ่มเรียนจากติดลบมันก็ไม่เป็นไร 

จากเบื้องหน้าสู่เบื้องหลัง หยิบอะไรจากเบื้องหน้ามาปรับใช้กับการทำงานปัจจุบันบ้าง  

คือเราเป็นนักแสดงมาตลอด ตอนจบติ้วก็ส่งเอกการแสดง เพราะฉะนั้นติ้วคือนักแสดงค่ะ และเพราะเราคือนักแสดงรวมกับประสบการณ์ตรงนั้น เราจะเข้าใจมากว่านักแสดงกำลังคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไร พอเราขยับบทบาทมาเป็นผู้กำกับ ทุกประสบการณ์มันเอื้อให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นทั้งหมด เราพยายามหาแบบฝึกหัด ที่ช่วยดึงศักยภาพการแสดงออกมาให้มากที่สุด เพราะว่าพอเราทำละครเสียง มันยากอะ มันไม่เป็นแบบที่คิดไว้ ไม่เป็นอย่างฝัน อย่างเมื่อเช้าพี่เต็นท์บอกว่า “ตอนแรกนึกว่าง่ายๆ เพราะเมื่อก่อนปู่ย่าทำในบ้าน โหมาทำเอง ยากมาก” (หัวเราะ)

คือเราพยายามดึงเอาประสบการณ์บนสเตจมาใช้แหละ คิดไปก่อนหน้าเขา 2 – 3 ก้าวแล้วว่าเขาจะกังวลอะไร มีอะไรที่เราพอช่วยเขาได้บ้าง แต่ถึงจะพูดมาขนาดนี้ ก็ไม่มีอะไรเข้าที่สักอย่าง ยังอีกยาวไกลเลยค่ะ ตอนนี้เหมือนเพิ่งเริ่มนับศูนย์ คือโอเคตอนเรียนเราเรียนกำกับมาก็จริง แต่พอมาสู่โลกความเป็นจริงมันไม่เหมือนกันเลย เราก็ต้องมาเริ่มใหม่ เพราะบอกตามตรงเราไม่มั่นใจมากๆ เลยค่ะ 

แสดงว่าไม่ได้คาดฝันว่าจะมาถึงจุดนี้ในเวลาสั้นๆ ถ้าอย่างนั้นเล่าจุดเริ่มต้นของโปรเจคละครเสียงและบทบาทผู้กำกับให้ฟังได้ไหม 

จริงๆมันเริ่มมาจากตอนที่เราสังสรรค์กับพี่ๆ แล้วก็พูดออกมาว่าอยากทำละครวิทยุ ทำไมเราไม่เอามันกลับมา ปากแจ๋วมาก (หัวเราะ) แล้วบังเอิ๊ญมันมีคนไปบอกอะ หลังจากนั้นมีประชุมบอร์ดบริหารค่ะ เขาก็บอกผู้บริหารทุกคนเลยว่า เออน้องมันมีโปรเจคนี้นะ น่าสนใจมาก แล้วพอบอกปุ๊ปทุกคนเออออหมด แต่ตอนนั้นเราสนใจไง (หัวเราะ) เราก็เอ่อพี่จะให้หนูกำกับเหรอคะ หรือยังไงดี เหมือนตกกระไดพลอยโจน แต่ต้นเหตุที่คิดอยากทำละครเสียงขึ้นมา เพราะทุกคนอยู่บ้านเยอะ เราออกกองไม่ได้ เลยอยากทำอะไรที่ทำเองที่บ้านได้ เพราะต้นกำเนิดเราจริงๆมาจากการทำที่บ้าน ก็คิดเลยเมื่อก่อนเขายังทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้วิทยาการตอนนี้ก้าวไกลจะตาย นั่นล่ะค่ะมาจากอันนั้นเลย ตอนนี้คือเรื่องใหญ่มาก เพราะพอเราไปพูดกับคุณย่าเราแล้วเขาคิดถึง เขาอยากให้เอามันกลับมาใหม่ ติ้วเลยคิดว่ามันอาจจะถูกที่ถูกเวลาแล้วรึเปล่าที่จะเอามันกลับมา แล้วเราเอามาปรับให้มันเข้ากับกลุ่มผู้ฟังในยุคนี้ รวมกับเทคโนโลยีใหม่ๆว่ามันจะออกมาได้ดีแค่ไหน เพราะ Sound Studio ของกันตนาก็หนึ่งในตองอูอยู่นะ หนังหว่องกาไวก็ใช้ของเรา เปรี้ยวมาก แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ (หัวเราะ)

องก์ที่ 2
หมาดำ

ทำไมถึงต้องเป็นเรื่องหมาดำ

พอผู้ใหญ่เขาเลิฟมากๆเราเลยคิดต่อละว่า เอาบทละครของคุณย่ามาดีมั้ย ปีนี้มันครบ 70 ปีแล้วก็เลยลองหยิบมาใช้ 

ซึ่งพอพูดถึงศาสตร์การฟังมันก็คงไม่พ้น The Ghost หรือ The Shock อะไรแบบนี้หรอก ซึ่งติ้วเองก็ชอบฟังอยู่แล้ว แล้วคุณย่าก็ขึ้นชื่อเรื่องการเขียนบทสยองขวัญ ติ้วเชื่อว่าพวกเราอาจจะเคยได้ยินกันอยู่แล้ว ห้องหุ่น (2546) ตุ๊กตาผี (2531) ทายาทอสูร (2544) สุสานคนเป็น (2545) เรื่องผีทั้งหมดเนี่ยใช่เลยคุณย่าเด่นมาก เราก็เริ่มหาเลยว่าคุณย่าเขียนเรื่องอะไรมาบ้าง มันก็มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ แต่ติ้วก็มองไปที่แนวสยองๆหน่อย ตอนนั้นแหละเลยเจอเรื่องหมาดำ แล้วมันมีคำโปรยไว้ว่าเรื่องนี้เป็นแนว Psychological Thriller เราก็อ้าวปกติเขียนหนังผีทำไมจู่ๆมาแนวนี้ เขาเขียนต่อว่าคนในขณะนั้นเรื่องหมาดำให้ความรู้สึกเหมือน Psycho ของ Alfred Hitchcock เพราะตอนนั้นมันมีแต่เสียง แล้วตอนนั้นวิทยุมันเข้าถึงทุกคนอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจมาก พอได้รู้แรงบันดาลใจว่าเรื่องนี้มาจากไหนยิ่งชอบ คือมันมาจากรูปรูปเดียวที่หน้าหนังสือพิมพ์แค่นั้นเลย มันคือข่าวผู้ชายประหลาดคนนึงที่ต่างประเทศ เดินออกไปไว้อาลัยหน้าหลุมศพหมาของเขาทุกวัน แล้วคุณย่าก็ได้จากอันนั้นเลยออกมาเป็น 60 ตอน

คือติ้วสนใจที่มาที่ไปของมันมากเพราะมันดูแบบจากที่มาแค่นี้อะ คุณย่าเอามาสร้างต่อได้จนกลายเป็นละครวิทยุยาวเรื่องหนึ่งที่ดังมากของไทย ทีนี้พอจะทำมันก็ต้องอ่านก่อน เราเลยไปขอเขามาอ่าน ตอนแรกก็ว่าคุณย่าเรามีวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัยมาก คือมันค่อนข้าง sci-fi เลยค่ะ เขาเอาเทคโนโลยีที่ค่อนข้างล้ำสมัยมาใช้ คือมีแบบ Smartwatch แต่เขียนตอนปี 2500 นะ เหมือนปกติคุณย่าจะใช้ผีหลอกคน แต่เรื่องนี้เปลี่ยนแนวเป็นคนหลอกคนแทน เอาอย่างนี้แล้วกันเวอร์ชันคุณย่าคือ Season 1 ส่วนอันปัจจุบันคือ Season 2 แล้วกัน คือในตัวเรื่องนี้ใน Season 1 คุณย่าเขียนว่าตัวละคร คติ (รับบทโดยกลศ อัทธเสรี) เนี่ย เขาเป็นโรคจิต มีความโลภ อยากได้ของสิ่งหนึ่ง มีความสุขกับการฆ่าคน แต่จะฆ่ายังไงล่ะไม่ให้ถูกจับได้   เขาเลยสร้างความเชื่อขึ้นมาว่าที่แห่งนี้มีผีหมาดำอยู่ แต่ผีหมาดำเป็นหุ่นยนต์นะ มีเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ติดลำโพงไว้ในป่า แล้วก็มีการทำให้บ้านมันหลอน ใส่กลไกลงไปอะไรแบบนี้ คือโดนคนหลอกนั่นแหละ พอเขาฆ่าคนตายมันก็เอาผิดไม่ได้ เพราะคนทั่วไปเข้าใจว่าโดนผีหลอกไง

เรารู้สึกทึ่งมากเพราะมันเริ่มในปี 2500 นะ เราเลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก แล้วคือแก่นของเรื่องที่คุณย่าเขียนไว้มันคือความโลภ ติ้วเลยถอดรหัสแล้วเอาแก่นนี้ออกมาเป็นประโยคว่า ‘ความโลภนำมาซึ่งความชิบหาย’ ก็คือเล่าความโลภของคนแต่ละคนเลย เพราะเวลาอยู่ในสถานการณ์คับขัน สัญชาติญาณดิบของคนมันจะโผล่ออกมาอยู่ดี แค่ใครจัดการได้มากน้อยแค่ไหน อะแต่เสริมนิดนึงคือเราอ่านไม่ไหวนะ มัน 60 ตอน ตอนละอย่างหนาอะ ติ้วเลยเอามาแค่แกนแล้วไปสัมภาษณ์คุณย่าเอา คุณย่าก็เล่าว่าเพราะคนมันฟังเยอะก็เลยเขียนไปเรื่อยๆจับเอาสิ่งรอบตัวมาเขียน แล้วมันวันต่อวัน เขียนไปเล่นไป มันหลายเส้นเรื่องมากกว่าจะจบ คือเราก็ถามแหละว่าคิดอะไรยังไง เส้นเรื่องน่ะ ย่าบอกอ๋อไม่ได้คิด (หัวเราะ) ดับฝันเรามากเลย (หัวเราะ) 

ซึ่งจริงๆมันถูกเอามาทำเป็นละครโทรทัศน์ก่อนด้วยนะ ปี 2535 เรายังไม่เกิดหรอก ตอนนั้นพี่รอน บรรจงสร้าง กับคุณ กรรชัย กำเนิดพลอย ตอนนั้นยังหนุ่มๆอยู่เลย แล้วดูเอาบทแบบนั้นมาทำละครในปี 2535 เปรี้ยวมากจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดกับหมาดำปี 2021 คือเราไม่ได้เอามันกลับมาทำเฉยๆนะ เราเล่าต่อว่าอะไรเป็นอะไร ใครมาจาก Season 1 บ้าง แบบใครเป็นผู้รอดชีวิตบ้าง เช่น เด็กคนนั้นที่พ่อแม่โดนฆ่าตายหมด เขาจะโตมาแบบไหน หรือผู้หญิงที่โดนจับไปขังแล้วดันรอด ตอนนี้จะเป็นยังไง ก็ให้คุณแม่นั่นแหละค่ะมาเล่นบทผู้หญิง คือคนที่ไม่ได้ดู Season 1 แต่มาฟังอันนี้เลยก็จะยังรู้เรื่องนะ เพราะติ้วก็ย้อนเนื้อเรื่องเก่าให้บ้างว่ามันมายังไง เขาเห็นใครดังนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ รู้เรื่องแน่นอน

การหยิบเอาเส้นเรื่องเก่ามาปรับปรุงใหม่ มีความยากง่ายอย่างไร

ยากมาก ยากแบบยากมากๆ (หัวเราะ) คือติ้วเองเนี่ยไม่ใช่คนที่เขียนเก่ง คือเรามีไอเดียนะแต่เราไม่ได้ถนัดขนาดนั้น เราเลยไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เป็นนักเขียนบทที่ชอบเรื่องผี เขาก็อยู่ในวงการละครเวทีเหมือนกันนั่นแหละ ก็ไปหลอกเขามา (หัวเราะ)

คือด้วยความที่ติ้วเองก็ยังนิยามสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี เพราะถ้าเราเรียกว่าละครวิทยุมันต้องออนแอร์ทางวิทยุไง ซึ่งมันไม่ใช่ แล้วเราปรับเปลี่ยนส่วนประกอบบางอย่างของมันออกไปเยอะแล้ว ติ้วเลยเรียกมันว่าโปรเจคทดลองมากๆ เพราะเราทำบทเอง กำกับเอง แสดงเอง ควบคุมเสียงเอง ทีมงานมันก็ไม่มีใครเคยทำ เลยเหมือนเป็นกระบวนการค้นหาช่วยกันมากกว่า

เนื้อเรื่องที่เราดึงเอาส่วนประกอบหลักพวก หมาดำ ไร่วนาสวัสดิ์ อุลกะมณีดำ อะไรแบบนี้มา ซึ่งเราก็ให้สถานที่มันอยู่ที่กาญจนบุรี ทีนี้เราก็เทียบความแตกต่างว่า ถ้าเป็นละครวิทยุ โครงสร้างของมันต้องมีเหมือนคนบรรยายเปิดหัวซีนปิดท้ายซีน ว่าเรื่องนี้เกิดกับใครเกิดที่ไหน แล้วค่อยพาเข้าซีน ซึ่งการเล่าแบบนี้เป็นเสน่ห์ของละครวิทยุอยู่แล้ว เราจะทำยังไงในเมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยน คือถ้าถามติ้วเราอยากจินตนาการมากกว่า ติ้วเลยเริ่มคิดโปรเจคด้วยความรู้สึกว่า อยากให้ผู้ฟังได้ใช้จินตนาการไม่สิ้นสุด มันเป็นโปรเจคที่ไม่มีการปิดกั้น เสน่ห์ของละครเสียง คือการที่เราฟังแล้วสิ่งนั้นมันพาเราไปในที่ไหนก็ไม่รู้ ไร่ที่้เราเห็นในหัว กับไร่ที่คนฟังเห็นอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ เพราะฉะนั้นคนฟัง 100 คนจินตนาการก็ 100 แบบ เสน่ห์แบบนี้แหละที่ติ้วชอบมาก จนอยากให้ทุกคนลองมาฟังดู

การปรับเปลี่ยนจากละครวิทยุสู่การเป็น Audio Drama ยากไหม

ยากทุกอย่างเลย คืออย่างคณะเกศทิพย์ เขาก็ยังคงความเป็นละครวิทยุอยู่แค่เปลี่ยนแพลทฟอร์มไปลงยูทูป ซึ่งส่วนตัวติ้วเองมองว่ามันคือแนวทางหนึ่งมากกว่า คือถ้าเราชอบแบบนี้ก็เสพแบบนี้ แต่สิ่งที่ติ้วอยากทำคืออยากพัฒนามากขึ้น อยากสร้างสิ่งใหม่มากขึ้น เราเลยต้องลงไปรื้อตั้งแต่บทเลย

ซึ่งจริงๆบทเขียนจนเสร็จแล้วนะ เรามานั่งอัดกันฟังกันเอง แล้วมันก็ไม่รู้เรื่อง คือตอนแรกเรากลัวคนดูจะคิดไม่ออก เราเลยบรรยายไปหมดทุกอย่างเลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไร่แล้วทำนู่นนี่ คือเล่าหมด กลายเป็นว่ามันผลักผู้ฟังออกไปเรื่อยๆ ติ้วเลยบอกนักเขียนว่าเราไม่อยากปิดกั้นผู้ฟังแบบนั้น งั้นเราลองมาหาวิธีกันใหม่ดีมั้ย เลยทดลองรื้อเปลี่ยนแก้กันไป คือทำถึงขั้นที่ว่าอัดเสร็จแล้วด้วยนะตอนนึงแต่ต้องรื้ออัดใหม่เพราะมันไม่ได้จริงๆ ทดลองมากๆเลยค่ะ แต่สุดท้ายก็หาจนเจอว่ามันจะต้องประมาณนี้นะ เท่านี้คนดูถึงจะเห็นภาพ คือติ้วอยากให้ทุกคนมีประสบการณ์ร่วมกันกับเรา ให้เราเปิดโลกจินตนาการนั้น แล้วเดินทางไปด้วยกัน ไม่งั้นถ้าเราดูแต่ซีรีส์มันก็ถูกจำกัดแค่ในกรอบ 4 เหลี่ยมนี่แหละ เราก็อยากให้มันไปมากกว่านั้น

แต่ถ้าให้พูดจริงๆเราก็อยากทำบทเท่ๆทิ้งปริศนาไว้เยอะๆแหละ แต่มันฟังไม่รู้เรื่องไง เพราะมันไม่มีภาพ เราเลยย่อยมันออกมาจนกลายเป็นหมาดำ 2021 นี่ล่ะค่ะ 

รื้อบทก่อน หรือแคสต์คนก่อนแล้วค่อยรื้อ

คือเราทำไป แคสต์ไป อัดไป รื้อไป (หัวเราะ) จริงๆเราก็เปิดออดิชันนั่นแหละ ตอนแรกติ้วก็เรียกพวกเพื่อนๆที่เล่นละครเวทีมา กับพวกนักแสดงที่แบบ born actor มาแคสต์ก่อน คือเราก็ไม่อยากรบกวนเวลาเขาหรอก เราเลยต้องเหมือนเลือกคนก่อนเลยแล้วไปหลอกเขามา เรามีบทบางส่วนแล้วว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีคาแรคเตอร์แบบไหน เราก็ลองให้บทแล้วให้เขาจินตนาการออกมาเลยว่าจะเล่นแบบไหน หรือแบบพี่แก้วเล่นได้ไหนลองเข้าคู่กันซิ คือมันอาจจะฟังดูเสียเวลามากเลยนะ แต่สุดท้ายเราได้นักแสดงที่ตรงกับสิ่งที่คิดโดยไม่ต้องเลือกหน้า เพราะสิ่งที่สำคัญคือเสียงและการตีความคาแรคเตอร์ตัวละคร

จริงๆแล้วในฐานะเด็กเรียนการละคร ทำเรื่องนี้คือสนุกมาก เพราะแต่ละขั้นตอนมันสุดไปหมด จากกระบวนการทั้งหมดสุดท้ายเราเลยได้เป็นนักแสดงปัจจุบันมา คือพี่ ท็อป – ทศพล จาก Tunnel, พี่ตุ๊กตา – จมาพร The Voice, พี่เอม – ภูมิภัทร จาก เด็กใหม่, พี่แนนซี่ – ดารินา จาก แสงกระสือ แล้วยังได้ ไฟต์ – รัชพนธ์ จากที่ทำละครเวทีอีก ยังไม่รวมนักแสดงผู้ทรงคุณวุฒิอย่างคุณแม่ สอง – วจี กับ อาหมู กลศ อีกนะคะ นักแสดงคับคั่งมาก

Photo Courtsey of Kantana Motion Pictures

ตอนคัดนักแสดงทั้งหมด เห็นอะไรในตัวพวกเขา ทำไมต้องเป็น 5 คนนี้

เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีละคนเลยค่ะ เอาตัวละครพี่ฮันนี่ (รับบทโดย แนนซี่ – ดารินา) ก่อนเลย คือ ตอนเราสร้างตัวละครนี้ เราเลือกเอาเอกลักษณ์ของคนไทยสมัยนี้แหละ ไม่ได้มองไปไกล แค่คิดว่าในกลุ่มเพื่อน 5 คนจะต้องมีคนแบบไหนบ้าง ซึ่งตัวละครฮันนี่ถามว่ามัน stereotype มั้ยก็นิดนึง แต่เราก็ไม่ได้อยากให้ตัวละครมันแบนขนาดนั้น ฮันนี่เองก็มีที่มาที่ไป ว่าเขาผ่านโลกแบบไหนมาถึงกลายเป็นบุคลิกแบบนี้ เป็นดาวติ๊กต่อกใช้ชีวิตสดใส เดี๋ยวฟังไปเรื่อยๆจะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเราก็ต้องมาเวิร์คต่อ ว่าตัวละครฮันนี่นอกจากที่เราเห็นภายนอกแล้ว ภายในเขามันผ่านอะไรมา พอคาร์แรคเตอร์มาแบบนี้ เราเลยต้องพยายามหานักแสดงที่เล่นลึกๆเก่ง เลยนึกถึงพี่แนนซี่ คือพี่เขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะอยู่แล้ว เราอาจจะเคยเห็นหน้าเขาในการเป็นซัพพอร์ตคาแรคเตอร์ในละครช่อง 3 ในแสงกระสือ หรือผลงานล่าสุดที่กำลังจะเล่นกับ ญาญ่า-อุรัสยา ใน Thai Cave Rescue ของเน็ตฟลิกซ์ คือเรามั่นใจมากเพราะเคยเล่นธีสิสกับเขา ก็บอกไปเลยว่า พี่คะหนูอยากได้ดาวติ๊ก ชีก็แบบ ‘ได้’ และใช่ค่ะ คือเล่นรอบเดียวตรงแคสต์ในหัวเราหมดทุกอย่าง แถมเป็นคนเดียวที่จำบทมาแคสต์ทุกตัวโดยไม่อ่านอะ เลยเป็นใครไม่ได้ละนอกจากพี่แนนซี่ ต้องให้จริงๆ

เจแปน (รับบทโดย ไฟต์ – รัชพนธ์) คาแรคเตอร์ของเจแปน มันมาจากสมัยเรียน ด้วยความที่เราอยู่ศิลปกรรมา เราจะมีเพื่อนที่เป็นเพศที่สามเยอะ ซึ่งเรามองว่ามันเป็นสีสันของชีวิตเราเลยนะ เราเลยสร้างตัวละครนี้ออกมา ตอนที่ได้ไฟต์มาก็ต้องบอกว่า จริงๆไฟต์ไม่ใช่นักแสดงด้วย ไฟต์เป็นสายเขียนบท แต่ติ้วรู้สึกว่าไฟต์เป็นคนมีความคิดลึกซึ้งมาก ติ้วเลยอยากซื้อความคิดไฟต์ผ่านเสียง เลยให้ลองมาเล่นดู สุดท้ายไฟต์ก็ทำได้จริงๆ แถมด้วยความเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นเวลามีปัญหาอะไรไฟต์ก็จะช่วยดึงสติ แบบเฮ้ยมึงอันนี้มันไม่โอเคนะ มองแบบนั้นดีมั้ย เลยช่วยกันทำช่วยกันคิด จนผลงานมันออกมาดีที่สุด

พี่กันต์ (รับบทโดย ท็อป – ทศพล) อันนี้ต้องขอบคุณพี่พลอย รัตนรัตน์ คือพี่เขามาช่วยเป็นโปรดิวเซอร์ให้ เพราะอยู่ในเหตุการณ์ปากแจ๋ววันนั้น (หัวเราะ) พอดีพี่พลอยรู้จักพี่ท็อป พี่เขาก็บอกว่าเสียงพี่ท็อปมันหล่อนะ อบอุ่น ซึ่งตรงคาแรคเตอร์ที่เราตามหา ด้วยความที่่ตัวละครนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยอยากได้เสียงของผู้ชายที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น พอขอให้พี่ท็อปมาลองแคสต์ โหได้ตั้งแต่คำแรก เล่นคู่กับฮันนี่คือใช่เลย ก็เลยต้องเป็นพี่ท็อปแล้วล่ะ

นานา (รับบทโดย ตุ๊กตา – จมาพร) คือตอนแรกเนี่ย พี่จิ๊บก็มาแคสต์เป็นนางเอกด้วยเหมือนกัน พี่เพชรแฝดพี่พลอยก็มา แต่พอเจอพี่ตุ๊กตาเข้าไปก็จอดกันหมด น้อยคนจะรู้ว่าพี่ตุ๊กตาคือแสดงเก่งมาก อย่างลอดลายมังกร หรือหลายชีวิต ที่เราไปดูนี่แบบเราคิดเลยว่าต้องชวนเขาให้ได้ พอมาลองแคสต์คือพี่ตุ๊กตาเหมือนปลุกให้ตัวละครมีชีวิต เสียงและภาพของตัวละครในหัวเราเขาทำได้หมด หมดทุกอย่างจริงๆ แถมพี่เขาทำงานหนักมาก ด้วยความเป็นนางเอกของเรื่องที่ต้องยึดเอาทุกอย่างไว้ แต่นั่นล่ะค่ะทำได้จริงๆ

พัท (รับบทโดย เอม – ภูมิภัทร) พอดีติ้วได้ดูเอ็มวีของ Tilly Birds เพลงยังคงสวยงาม แล้วพี่เอมเล่นเป็นนางเอก คือเราเห็นเขาแล้วแบบอยากได้ยินเสียง เขาเล่นลึกดี อยากรู้ว่าเป็นคนยังไง ถามไปถามมา อะเป็นเพื่อนพี่พลอย เลยขอให้มาลองดู ตอนแรกอะติ้วคิดภาพพัทไว้อีกแบบเลย แต่พอพี่เอมมาสวมบทแล้วลองเล่น ยิ่งคู่กับเจแปนนะ โหปังปุริเย่ ติ้วถึงบอกว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ทดลองมาก มันไม่มีภาพ มันเลยเป็นการค้นหาร่วมกันจนกลายเป็นพวกเขา 5 คนนี้ที่ช่วยสร้างเสียงเล่าเรื่องออกมา 

กว่าจะได้แคสต์ว่ายากแล้ว กระบวนการตอนอัดวุ่นวายกว่ามาก

เราใช้เวลาทั้งหมด 6 เดือนค่ะ ซึ่งจริงๆไม่ได้วางแผนให้มันนานขนาดนี้นะ อันนี้คือขยายเวลาเพราะมันใหญ่และยากกว่าที่คิดมาก พอเราได้แคสต์แล้วใช่มั้ยคะ เราจะมีวันเวิร์คช็อป 1 วัน ซึ่งปกติเวิร์คช็อปทีเขาทำกันเป็นเดือนๆแต่ของเรานี่เลย intensive course แน่นๆ ใน 1วัน 

ด้วยความที่เราเป็นนักแสดงมาก่อน เราก็จะเริ่มไล่ปัญหาไปทีละข้อ แล้วหาแบบฝึกหัดมาแก้ปัญหานั้นๆ แล้วก็ต้องดึงเอาศักยภาพการแสดงออกมาให้มากที่สุด ในพื้นที่จำกัดด้วย คือในห้องอัดน่ะค่ะ มันจะมีเป็นคอกๆเล็กๆกั้นแต่ละคนไว้ ในนั้นมีไมค์ 1 ตัว ถ้าเผลอพูดชิดไมค์เสียงก็จะใกล้ไป ขยับมือไม้มากก็ไม่ได้เพราะห้องมันแคบ ติ้วเลยต้องทำแบบฝึกหัดเพื่อจัดการอะไรแบบนี้ เช่น ใช้เสียงอย่างเดียว ใช้ตาอย่างเดียว ดูว่าลองสื่อสารกันได้ไหม หรือสร้างภาพความสัมพันธ์ตัวละครว่าเขามารักกันได้ยังไง แต่ทั้งหมดเร่งมากค่ะ 1 วันอัดเลย เราเลยต้องพยายามไกด์พื้นเพตัวละครให้มากที่สุด แต่ที่สำคัญคือต้องทำให้ทุกคนเห็นภาพเหมือนกัน อย่างหมาดำเนี่ย คือเอาจริงๆมันก็บังคับไม่ได้หรอก ทุกคนมีจินตนาการของตัวเอง หมาดำในจินตนาการอาจจะเป็นคอร์กี้น่ารักก็ได้ แต่เราจะทำยังไงให้นึกถึงหมาตัวสูง 2 เมตร สูงกว่าคนเลยนะ เจอแล้วจะเป็นยังไง เพราะว่าพวกพี่เขาไม่เคยเจอ หรือการไปอยู่ป่าเป็นยังไง ถ้าน้ำท่วมจะตายมั้ย เราต้องพยายามให้เขาเห็นภาพทั้งหมด จะได้ดึงมันกลับมาใช้ตอนแสดงได้ 

เท่าที่ฟังมาทั้งหมด ทุกอย่างดูยากมาก ตอนนั้นเครียดไหม ไม่รู้สึกว่ากำลังแบกรับความเสี่ยงที่มากเกินไปอยู่เหรอ

โหมันเสี่ยงมากเลยค่ะ คือมันเสี่ยงตั้งแต่ปากแจ๋วแล้วค่ะ (หัวเราะ) คือเราร้องไห้จนไม่มีน้ำตา เรากำลังแบกอะไรอยู่วะเนี่ย แล้วติ้วเกรงใจคนอื่นมาก เราจะแบกเองไหวมั้ย แล้วเราจะไปกำกับคนอื่นได้เหรอ คือในมหาวิทยาลัยเราเอาบทละครแบบเชคสเปรียร์แบบนี้มามันแน่อยู่แล้ว เราเอามาพัฒนาผ่านสายตาของเรามันได้ แต่นี่เราทำงานกับผู้ทรงคุณวุฒิที่เขาเสียสละเวลามาทำงานกับเรา คือเราก็ถามตัวเองตลอดเลย เราจะจัดการมันได้จริงมั้ย มันเยอะไปหมด ท้อเลย คือเรารู้นะว่าต้องทำให้เสร็จ แต่มันกล้ำกลืน แรงกดดันก็เยอะ เราดันไปเอาของรักของหวงเขามาไง เขาก็ตั้งความหวังแบบ ‘หลานจะทำละครวิทยุใช่มั้ย รอฟังนะ’ เราก็คิดแล้วว่าถ้ามันแป้กจะเป็นยังไง 

ส่วนเครียดมั้ย ถามใหม่ดีกว่ามีวันไหนไม่เครียดบ้าง มันกดดันมากติ้วจัดการไม่ได้เลย มีกลับไปนอนร้องไห้ด้วยนะ วันไหนที่เรากำกับออกมาไม่ได้ แล้วคือนักแสดงไม่รู้กี่คนที่รอทิศทางจากเรา แต่ภาพเราไม่ชัด เราอธิบายภาพในหัวเราไม่ได้ หรือเราจัดตารางไม่ดี เราก็เครียดมากว่าจะทำยังไงดี เพราะจริงๆ สุดท้าย ณ วันนั้นมันมีแค่ติ้วกับพี่พลอย และทีมผู้ช่วย 1 คน ทำงานกันสามคน แล้วเราแทบจะคุมทุกอย่างคนเดียว ก็โหดเอาเรื่อง คิดว่าผ่านอันนี้มาได้ น่าจะไม่ยากแล้วล่ะค่ะ

Photo Courtsey of Kantana Motion Pictures

นอกจากปัญหาในการทำงานกับคนแล้ว มีปัญหากับอย่างอื่นอีกไหม 

ไม่ใช่คนก็มีค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งอันนี้ต้นมันมาจากอุลกะมณีดำเลย เขาว่ากันว่ามันเป็นสะเก็ดดาวตกหรือหินอุกกาบาตที่ตกมายังโลกเรา แต่ต้นตอของมันจริงๆคือ คุณปู่ติ้วมีบ้านที่กาญจนบุรี แล้วอยู่ดีๆก็บังเอิญไปเจอหินนี้ มันใหญ่ แล้วเขาก็ชอบ อยากเก็บ เขาเลยบอกชาวบ้านว่าถ้าเจอบอกเขาหน่อยนะ ฉันซื้อหมด ดังนั้นทุกคนในบ้านติ้วจะมีสิ่งนี้เป็นของติดตัว เหมือนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน่ะค่ะ จะทำเลี่ยมทอง ปั๊มพระอะไรก็แล้วแต่คนเลย ซึ่งติ้วก็ไม่ได้รู้เรื่องราวดีนัก เราก็วางเอาไว้เฉยๆไม่ได้ไปทำอะไร จนได้สนทนากับคุณย่า คุณย่าก็เล่าค่ะ ว่าเมื่อก่อนเคยมีสื่อญี่ปุ่นมาสัมภาษณ์คุณปู่คุณย่า มันเคยมีช่วงที่คุณปู่ป่วยหนักมากจนเกือบตาย แต่รอดมาได้ แล้วตอนนั้นพกอะไร พกหินนี่แหละ ในวงการหิน วงการพระ เขาเชื่อกันละว่ามีอิทธิฤทธิ์แน่ๆ คนเลยเริ่มตามหากัน

แล้วมันมีตอนที่พี่เต็นท์ไปเรียนป.โทที่แอลเอค่ะ พอเพื่อนพี่เขารู้ว่ามาจากบ้านกัลย์จาฤก เขาก็ถามเลย มีใช่มั้ยหินนี่อะ ขอซื้อได้มั้ยเท่าไหร่ก็จะจ่าย พอพี่เต็นท์เล่าปั๊ป ติ้วคือต้องกลับมาถามตัวเองว่า เฮ้ยนี่เราต้องดูแลมันดีขึ้นรึเปล่า ก็ถามตัวเอง ส่วนชื่ออุลกะมณีดำ มาจากคุณย่าเลยค่ะ ถามว่าทำไมต้องชื่อนี้ คุณย่าบอกมันขลัง เนี่ยใส่สีดำไปขลังเลย ก็ตลกดีค่ะ (หัวเราะ) อันนี้เรื่องแรกนะ

ต้นกำเนิดว่าสุดแล้วใช่มั้ยคะ ตอนเอามาทำงานสุดกว่า คือติ้วกับทุกคนเนี่ยเจอเรื่องหลอนตลอดระยะเวลาการทำงานเลยค่ะ ลี้ลับจนแบบ เฮ้ย นี่เรากำลังทำงานกับอะไรอยู่วะ คือคิดแล้วนะตอนนั้น หรือทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแล้วจริงๆ ต้องหมาดำต้องอุลกะมณีดำ จังหวะมันใช่ไปหมด เรื่องมันเริ่มมาจากตอนหานักเขียน ติ้วไปได้พี่นักเขียนบทจาก Low Season สุขสันต์วันโสด มาค่ะ แล้วบังเอิญพี่เขามีเซนส์ ตอนประชุมติ้วเอาหินนี่แหละใส่ขึ้นคอเลย ปรากฎพลังงานแรงมาก อ้วกค่ะ คือไม่ไหวเลยแต่ยังไม่รู้ตัว จนตอนประชุมพี่นักเขียนสะกิด ให้ติ้วเอาออกจากห้องไป ของเขาแรงมากพี่เขาทนไม่ไหว ติ้วก็อะโอเคเอาออกไป ทุกคนก็สบายขึ้น นี่ยังน้อยๆนะคะ มีหนักกว่านี้คือพี่นักเขียนกับ พลอย-ไพลิน นางเอก Low Season เขาไปดูหมอกันว่าจะปังหรือจะพัง สุดท้ายหมอถามกลับมาสั้นๆ ไปทำอะไรกับบ้านกันตนามา ทำแล้วขอเขารึยังคุณประดิษฐ์น่ะ พูดชื่อนี้มาเลย คือติ้วช็อกมากนะ ติ้วไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่นั้นชื่อคุณปู่ไง เราก็เอาละ เราขอแต่คุณย่าคือขอแต่คนที่ยังอยู่ ไม่ได้ขอคนตายแล้ว ติ้วเลยบอกทุกคนเลยอะเอาใหม่ เริ่มใหม่กันหมดเลยนะ ก็ไปไหว้กันค่ะ แล้วไม่ใช่ครั้งเดียวนะ ไหว้หลายรอบมาก เดี๋ยวคนนั้นไม่มา คนนี้ไม่พร้อม ก็นับหนึ่งใหม่หลายรอบอยู่ค่ะ หนักสุดเลยคือเพื่อนคนนึงมาช้าสุด ไม่ได้ไหว้ เช้าวันถัดมา 6 โมงเช้าโทรมาเลย เขาโดนผีผู้ชายทีไหนไม่รู้ตามกลับบ้าน นอนไม่ได้เลย ร้องไห้ โดนผีอำแบบตัวช้ำเป็นจ้ำๆ ดีที่แฟนเขามีตะกรุดก็เลยเอามาให้ อะเราก็ไหว้ใหม่

ยังไม่รวมช่วงอัดเสียง Post Production อีกนะ ในห้องอัดนี่คือมานั่งกันให้เห็นจะจะ พี่ตุ๊กตาอัดเสียงเสร็จรอคิวอัดต่อ โต๊ะตรงหน้าเขาแข็งๆก็ยวบเลยเหมือนมีคนมานั่ง หรือเวลาเราดูผ่านมอนิเตอร์ เห็นเป็นเงาๆยืนกันพรึ่บพรั่บ จนเราต้องขอให้เขาไปรอข้างนอกงี้ เยอะค่ะ เล่าไม่หมดเลย คือการทำเรื่องนี้นอกจากยากมากๆแล้ว ยังเจออุปสรรคทางอื่นด้วยที่มองไม่เห็น แต่เราก็แค่ขอว่าให้เขาช่วยด้วยก็แล้วกัน ขอให้มันออกมาดี

ทั้งยากทั้งเครียดขนาดนี้ อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้อดทนจนโปรเจกต์สำเร็จ

คือพอเริ่มแก้ตอนแรกมันก็ยังมีปัญหาแหละ เราใช้คนไม่เยอะ ติ้วลงไปทำเองทุกขั้นตอนจนจับจุดได้ ว่ามันต้องวางเบรคแบบนี้ ดีลยังไง เวลากำกับใช้วิธีไหน คือมันวางแผนตั้งแต่ Workshop จนพอเราจับจุดได้ เฮ้ย มันดีกว่าที่เราฝันไว้มาก คือติ้วก็ไปเปิดคณะเกศทิพย์ใน youtube เหมือนกันว่ามันเป็นยังไง แต่คือที่เราทำออกมามันเกินกว่านั้นไปเยอะแล้ว ติ้วเลยคิดว่าเราน่าจะทำให้มันดีขึ้นได้อีก อันนี้คือข้อนึงเลยที่สร้างแรงฮึดให้เรา

จริงๆความเสี่ยงแรกนอกจากปากแจ๋วแล้วคือ เรารู้อยู่แล้วว่าโดยปกตินิสัยของคนไทยคือการไถหน้าจอไปเรื่อยๆ  มันน้อยคนมากที่จะหยุดแล้วฟังอะไรนานๆ แต่จริงๆมันก็มีคนกลุ่มที่ฟังพอดแคสต์ ฟังการตลาด ฟังเรื่องผี ซึ่งพอติ้วเจาะไปที่ตลาดจุดนั้นเราถึงเอ้อมันก็มีโลกอีกใบอยู่นะ ติ้วเลยรับความเสี่ยง ขอลองเปิดอีกตลาดนึงแล้วกัน ดึงคนสองกลุ่มมาอยู่ตรงนี้ ทดลองดูว่าศาสตร์ของการที่ไม่มีภาพมีแต่เสียงอย่างเดียวจะส่งผลต่อคนฟังแค่ไหน 

มันก็จะย้อนกลับไปที่แผนแรกของเรา ว่าจริงๆอยากทำเป็นละครให้คนฟังสั้นๆ ที่เป็นแบบจบในตอน แล้วก็ขยายแนวมากขึ้น อาจจะไม่ใช่สยองขวัญอย่างเดียว เป็นแนวทริลเลอร์ที่อัดกันแค่ 2-3 คนพอ เป็นพัฒนาการเล็กๆ ส่วนโปรเจ็กต์ก้านกล้วยมีแล้วค่ะ ฟังได้ใน JOOX เลยค่ะ แต่ถ้าจะเอาแบบล้ำไปอีก นี่ยังไม่พอเหรอคะ (หัวเราะ) เป็นก้านกล้วยทริลเลอร์สยองขวัญ ก็ทำได้นะ ตอนนี้มันก็ไม่มีขีดจำกัดแล้วล่ะ เรื่องสั้นก็เริ่มเขียนไป 4-5 เรื่องแล้ว ก็เดี๋ยวลองดูว่าโปรเจ็กต์นี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน อาจจะทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และอาจจะมีเป็น Premium Audio Drama ที่ทำเป็นซีรีส์ 8 ตอนจัดเต็ม ก็อาจจะมีปีละเรื่อง ที่เหลือก็เลี้ยงเป็นเล็กๆ ไป เอาเป็นว่าเพราะเราอยากให้ทุกอย่างมันพัฒนา เราเลยพยายามมากๆ จนถึงตอนนี้ค่ะ 

องก์ที่ 3
กันตนา

จากจุดเริ่มต้นจนถึงวันที่ปล่อยโปรเจ็กต์นี้ออกไป ภูมิใจไหม

ภูมิใจมาก คือมันก็เกินที่ติ้วฝันไว้มากนะคะ เราไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาใหญ่ขนาดนี้ เมื่อกี้คุยกับพี่ซาวนด์ เขาก็บอกว่าเหมือนทำหนังเรื่องหนึ่งเลย แล้วติ้วมักจะตั้งคำถามกับตัวเองเสมอ เราเรียนมาไม่ตรงสาย เราจะทำได้มั้ย เราจะไปอยู่ตรงไหน หรือว่าเราลองทำสิ่งใหม่ๆทั้งที่ยังขาดประสบการณ์แบบนี้มันจะเวิร์คมั้ย แต่พอเริ่มเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ที่บ้านก็ใจดีที่ให้เราได้ลองดูว่าทำอันนี้ดี อันนั้นไม่ใช่ เหมือนเราได้ลองทำมันดูทุกอย่างจนเจอสิ่งที่เราทำได้ 

จะบอกว่าติ้วโชคดีก็คงถูก ด้วยความที่เราไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ แต่เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับพรแสวง ในขณะที่เพื่อนบางคนเรียนเก่งมาก หัวดี แต่เราเป็นคนที่ต้องนั่งอ่านแล้วจำให้หมดเพื่อที่ว่าเราจะสอบได้ เราก็ทำอย่างนั้นมาจนสุดท้ายเป็นเกียรตินิยมแห่งน้ำตาจริงๆ ว่าเราจะตายไหมกับการทำอย่างนี้ อย่างละครเวที เราก็ไม่ใช่คนที่เกิดมาร้องเพลงเพราะ แต่ฉันชอบน่ะ จะทำยังไง ก็ไปเรียน ไปซ้อม เอาให้ได้ คือไม่รู้หรอกว่าเส้นทางชีวิตเราอาจจะเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่การได้มาเริ่มต้นใหม่ บวกกับการที่ติ้วเป็นคนที่ไม่กลัวที่จะเรียนรู้ และไม่กลัวที่จะบอกว่าไม่รู้ ช่วยสอนหน่อย เราไม่อยากเติบโตไปเป็นหัวหน้าที่ไม่รู้อะไรเลย อย่างน้อยเราอยากทำให้เป็นทุกอย่าง เราอยากเข้าใจพวกเขาว่าอยู่กันยังไง ตอนติ้วเข้ามา ก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร ก็สืบได้หมดเลยว่าใครทำอะไร ติ้วก็จะรู้ว่ามันมีปัญหาตรงไหน ทำไมมันเดินเรื่องช้า เราก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะสามารถส่งไปบอกได้ว่าปัญหาอยู่ตรงนี้นะ คุณอยู่สูงเกินไปอาจจะไม่เห็นหรือไม่ได้ยิน แต่นั่นล่ะค่ะ ก่อนจะเป็นหัวหน้าใครได้ ก็ต้องเข้าใจการทำงานของเขาทั้งหมดก่อน ยิ่งเราในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 บอกตามตรงกดดันมาก (หัวเราะ) ถ้าเราทำเสีย มันก็เสียทั้งหมด ถ้าเราทำดี มันก็เท่าตัว มันคือคำพูดนี้เลย ติ้วเลยระลึกถึงคำสอนของคุณอาเสมอ เวลาเราจะทำอะไร จงตั้งใจทำให้มากกว่าคนอื่น โดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไรมาก ก่อนจะเป็นนายคน ก็ต้องเข้าใจค่าการทำงานและหน้าที่ของคน พอคิดได้ตามนี้แล้วตอนนี้ลงมาทำงานเอง ก็ตอบได้เลยค่ะ ภูมิใจมากจริงๆ

บนความภาคภูมิใจและการทำงานที่นี่ กันตนาให้อะไรกับคุณ

คำว่ากันตนา แปลว่าผู้เป็นที่รัก อย่างแรกเราพยายามนำเสนอคอนเทนต์หรือสิ่งใหม่ๆ กับผู้ชมมาตลอด 70 ปีแล้ว แล้วเราก็ยังคงเฟ้นหาสิ่งใหม่ๆ มาสู่วงการบันเทิงไทย คืออย่างน้อยถ้าเราทำดี มันก็สามารถเปิดโลกไปยังต่างประเทศได้อีกมาก หมายถึงว่าพาอุตสากรรมของคนไทยไปต่างชาติได้ เราก็อยากเป็นอีกหนึ่งแรง อีกหนึ่งกระบอกเสียง ที่ช่วยผลักดันให้วงการอุตสาหกรรมบันเทิงไทยไปได้อีกเรื่อยๆ 

ถึงแม้ว่าตัวติ้วเองจะเกิดมาไม่ทันยุคละครวิทยุ ลืมตามาเราก็เจอทีวีสีแล้ว แต่เรารู้มาตลอดว่าเราเกิดจากสิ่งไหน เพราะเราฟังเรื่องราวของครอบครัวเรามาโดยตลอด ถ้าจะบอกว่าสอนอะไร อย่างแรกเลยคงสอนความอดทน เราทำงานหนักมาก ทุกอย่างมันกระชั้น ความเครียดก็เยอะแต่ตอนนี้เหมือนผ่านมันมาได้ เป็นคนที่แกร่งขึ้น 

ส่วนบทพิสูจน์ทั้งหมดมันคือคำว่า ชนะใจตัวเองค่ะ เราไม่เคยคิดว่าจะต้องทำทุกอย่างคนเดียว ถึงพี่พลอยจะเป็นโปรดิวเซอร์ แต่เราก็ขอความช่วยเหลือเท่าที่เราจะขอได้ มันคิดมากไปหมดแหละค่ะ ตอนปล่อยออกไป แค่มีคนมาดู ยอดการเข้าชมขึ้นแค่คนเดียวก็ดีใจจะแย่แล้ว นี่มีคอมเมนต์ว่ารอติดตามนะ โห แค่นี้ก็คุ้มแล้วค่ะ เกินกว่าที่คิดมากแล้ว แถมทำได้จริงๆ ถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองเมื่อ 6 เดือนที่แล้วได้จะพูดเลย ว่าทำต่อไป ทำถูกแล้ว เรามาถูกแล้ว ไม่หลงทางหรอก

ผ่านมาแล้ว 70 ปีบนเส้นทางสื่อ ในฐานะคนสานต่อมองภาพอนาคตของกันตนาไว้อย่างไร

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเป็นเหมือน Content Provider ที่คอยสร้างผลงานที่เข้าถึงผู้ชมได้ทุกกลุ่มมาโดยตลอด จริงๆเรามีบริษัทลูกมากมายที่คุณไม่น่าจะรู้หรอก แต่เราก็ยังทำงานเรื่อยๆ เราเรียกตัวเองว่า One Stop Service เพราะเราทำทุกอย่างให้หลายๆคนมาโดยตลอด เราทำได้ตั้งแต่ pre post ทั้งหมด คุณจะมาจ้างทีมถ่ายก็ได้นะ จะเช่าทีม เช่าคน เช่าของ เช่าสตูดิโอ เรามีดาราด้วยนะ เราคิดคอนเทนต์ให้ก็ได้ ทำรายการให้ก็ได้ เรามีทีมซาวนด์ที่เจ๋งที่สุดนะ แล้วซาวนด์ทำทุกอย่างเลยนะ เรามีแอนิเมชัน จริงๆซาวนด์กับแอนิเมชันของเราคือดังขึ้นชื่อของโลก คนไทยก็ไม่รู้เหมือนกัน เราก็ไม่ได้เก่งเรื่องการประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าฉันทำอะไรอยู่นะ แต่เราให้ผลงานมันฟ้องออกมาเอง ความตั้งใจของติ้วคืออยากจะเปลี่ยนอิมเมจของกันตนาใหม่ บางคนยังเข้าใจว่าฉันทำหนังจักรๆวงศ์ๆ ซึ่งเราไม่เคยทำเลย พอพี่เต้กลับเข้ามาทำเดอะเฟซ คนก็มองกันตนาเปลี่ยนไป ภาพลักษณ์มันเปลี่ยนไป ดังนั้นติ้วมองว่านอกจากเราจะผลิตคอนเทนต์ที่เป็นผู้นำต่อไปในอนาคตแล้ว ติ้วจะปรับภาพลักษณ์ขององค์กรให้ทุกคนมองมันต่างออกไปมากขึ้น แต่เอาจริงๆก็เดาไม่ออกหรอกค่ะ ว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ดังนั้นถ้าวันนี้เรามองเห็นอะไรบางอย่าง ติ้วก็จะลุยไปเลย ลุยแบบสุดตัวเลยค่ะ

นอกจากอนาคตของกันตนาแล้ว มองอนาคตวงการสื่อไทยเป็นอย่างไร 

มองว่าอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง เอาจริงๆนะ คนไทยมีศักยภาพมาก เกือบทุกบ้านในประเทศไทยทำงานเก่ง ทุกคนมีสไตล์ของตัวเอง ไม่ได้มาทับไลน์กัน ซึ่งมันดี แต่ปัญหาคือค่านิยมของคนไทย ไม่ได้เสพศิลปะ ไม่ได้เสพสื่อแบบนั้น แต่อย่างเกาหลี เขาคิดมาแล้วว่าจะใช้อันนี้เป็น Soft Power ที่จะดึงให้ทั้งโลกหันมาลงทุนกับมัน รัฐบาลก็ออกมาช่วย เธอจะเอาเงินกี่ร้อยล้านก็ว่าไป แต่อันนี้บางคนถ่ายละครได้รับเงินตอนละ 3 หมื่นบาท ซึ่งบัดเจ็ตทุกอย่างมันถูกบีบลงมา จริงๆ ถ้ามีทุน คนไทยทำได้หมดล่ะ จะซีจีอะไรก็มาเหอะ มันขึ้นอยู่กับการได้รับการสนับสนุนแค่ไหน อันนี้ไม่ใช่แค่นักแสดงหรือโปรดัคชั่นนะคะ ศิลปินทุกประเภทเลย เขาไม่ถูกสนับสนุนอย่างถูกต้อง ไม่มีการส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของศิลปะตรงนั้น อันนี้มันก็เป็นเรื่องเศร้าที่มันยังไม่ขยับไปไหน แต่ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่รู้ว่าด้วยกระแสสังคมที่การไปดูมิวเซียม มันดูเซอร์ ดูเท่ ก็ขอบคุณกระแสนี้ เพราะมันทำให้เพื่อนติ้วสามารถขอตั้งบริษัทเพื่อที่จะจัดแสดงศิลปะขึ้นมาได้ มันเติบโต มีโรงละครโรงเล็กเพิ่มขึ้น และคนก็เริ่มมาดูละครเวทีมากขึ้น มันเห็นการพัฒนาที่ชัดขึ้นนะคะ มันแค่ช้าเท่านั้นเอง ก็หวังว่ามันจะยิ่งพัฒนาไปมากกว่านี้อีกในอนาคตค่ะ

ฝากถึงคนที่กำลังมีความฝันไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง

อย่างแรก ติ้วอยากให้มั่นใจในตัวเอง หาความฝันของตัวเองให้เจอ อย่าดูถูกความฝันของตัวเองเด็ดขาด อย่าดูถูกตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเองแล้วไปให้สุด ติ้วผ่านจุดที่เราไม่มั่นใจตัวเองมากๆ อยู่ในบรรทัดฐานของสังคมไทย ที่มองคนผมหยิกแล้วไม่สวย น่าเกลียด หรืออย่างการร้องเพลงในฐานะนักร้องนักแสดงเธียเตอร์ เราชอบมัน แต่ว่าเราไม่มีอะไรไปเลย เราไม่ได้เกิดมากับพรสวรรค์ แต่คือเราสู้ตายมาก เราฝึกหนักมาก เราโหดกับตัวเองมาก อาจจะมากเกินไป ถ้าย้อนกลับไปได้ก็คงจะบอกตัวเองว่าใจเย็นๆ ก็ได้ มันไม่เป็นไร แล้วก็อย่ากลัวความล้มเหลว คือชีวิตมันก็มีแค่นี้ ถ้ากลัวความล้มเหลว สิ่งที่แย่กว่าก็คือเราจะเสียใจว่าเราไม่ได้ลองทำมัน ชีวิตมันมีแค่นี้เลยค่ะ ถ้าไม่สำเร็จก็ล้มเหลว ถ้าล้มเหลวก็เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นแล้วทำต่อ แต่ถ้ามันสำเร็จก็ทำต่อเหมือนกัน 

ติ้วเองก็ไม่เคยเสียใจที่เราไปวิ่งเล่นอยู่ในโลกออดิชัน แล้วโดนสารพัดคำพูดว่าเธอไม่ใช้เส้นเข้ามาล่ะ เพราะเราเคารพความฝันของเรา และเราได้พิสูจน์ตัวเราเองแล้วว่าทำได้ มันแค่นั้นเลยจริงๆ ภูมิใจในตัวเองนะ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตฉันผ่านมาแล้ว เวลาเปิดเรื่องราวถัดไปแล้วมีเป้าหมายใหม่ ก็พยายามเดินหน้าไปเรื่อยๆ อย่ากลัวที่จะล้มเหลว ไม่เป็นไร ล้มได้ก็ลุกได้ล่ะ

สุดท้ายนี้ขอฝากละครเสียง ที่จะมาเขย่าโสตประสาทของทุกคนในระบบ ‘Binaural 3D Audio’ เรื่อง  “หมาดำ” ซึ่งเป็นละครเสียงความยาว 8 ตอน ซึ่งตอนนี้มี 3 ตอนแล้วนะคะ อัพเดตทุกวันศุกร์ เวลา 6 โมงเย็นทางยูทูปชาแนล กันตนาโมชั่นพิคเจอร์ (Kantana Motion Pictures) และ JOOX แค่เสิร์ชว่า หมาดำ ก็เจอเลย ฝากติดตามด้วยค่ะ

Content Creator

Photographer

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า