fbpx

พงษ์ปิติ ผาสุขยืด: เมื่อชีวิตขับเคลื่อนได้ด้วย “โฆษณา”

ว่ากันว่าคอนเทนต์คือสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อทำให้เป็นที่สนใจ สร้างสรรค์ และดึงดูดให้ผู้คนสนใจในสินค้า บริการ หรือเนื้อหานั้นๆ แต่จะมีสักกี่คนที่สนใจคอนเทนต์ที่ใครหลายคนมองข้ามอย่าง “โฆษณา” ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ถ้าดูลึกๆ แล้วมีอะไรมากกว่าความสร้างสรรค์ความโฆษณาสินค้านั้นๆ ซึ่งวันนี้เราจะพามาพูดคุยกับหนึ่งคนที่ชื่นชอบโฆษณามากๆ และยังเป็นเจ้าของเพจ “Ad Addict” อีกด้วย เขาก็คือ “เพิท – พงษ์ปิติ ผาสุขยืด”

เมื่อโฆษณาไม่ใช่แค่โฆษณา Ad Addict จึงเป็นมากกว่าสื่อออนไลน์

“Ad Addict เป็นสื่อออนไลน์ที่เกี่ยวกับโฆษณา ธุรกิจ การตลาดนะครับ ก็หลายคนน่าจะเริ่มรู้จัก Ad Addict จาก Facebook Page เนาะ แล้วก็ปีที่แล้วก็เป็นปีที่เราเริ่มขยายช่องทางคือเราเปลี่ยนโมเดลแหล่ะว่า จากเดิมที่เราเป็น Facebook Page เป็น Influencer เป็น Blogger เราก็ผันตัวให้เป็นสื่อออนไลน์แบบจริงจัง ปีที่แล้วเราเลยขยายช่องทางเยอะมากนะครับ ถ้าใครได้ติดตาม ก็ถ้าตอนนี้ช่องทางหลักๆ ก็จะมี Facebook Website https://adaddictth.com นะครับ ตอนนี้เอาจริงๆ มีเกือบทุกช่องทางเลยครับ

แล้วก็จริง ๆ ก็มีอีกอันนึงถ้าเป็น Highlight ที่แบบว่าเราทำกันอย่างต่อเนื่องก็คือพอดแคสต์ พอดแคสต์ของเราจะชื่อช่องว่า The Addict Podcast นะครับ โดยที่ในช่องนี้ก็จะมีอยู่หลายรายการ ก็จะมีรายการนึงที่ผมเป็น Host อยู่ ก็คือ Ad Addict Podcast แล้วก็จะมีรายการเพื่อนบ้านอีกนะครับ ก็สามารถติดตามกันได้ จริงๆ ก็คือมีอยู่แทบทุกสื่อแล้วแหล่ะ ถ้าใครสะดวกช่องทางไหนก็ติดตามกันได้ครับผม

นอกจากนั้นก็จะมี Content Original ของเรา ชื่อว่า attitude นะครับ ก็จะเป็นเหมือนบทสัมภาษณ์ ไปสัมภาษณ์พูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังวงการโฆษณาธุรกิจการตลาดต่างๆนะครับก็จะแบบสัมภาษณ์เจาะลึกจัดเต็มเลยนะฮะก็จะมีอยู่ใน YouTube แล้วก็จะอยู่ในFacebook เช่นกันครับ”

จากคนอยากหาความรู้ สู่คนทำคอนเทนต์ออนไลน์

“ถ้าย้อนกลับไป คือตั้งแต่พี่เรียนจบมา พี่ทำงานเอเจนซี่โฆษณามาก่อนนะครับ โดยที่ผมจะอยู่ฝั่ง Creative agency คือเอเจนซี่ถ้าแบ่งใหญ่ๆ มันจะมี Creative agency กับ Media agency เหมือน Creative agency จะเป็นคนคิดไอเดียเป็นคนวางแผนในเรื่องของไอเดียในเรื่องของการสื่อสารในเรื่องของคิดงาน แต่ว่า Media agency จะเป็นว่ามีชิ้นงานแล้วเขาจะเอาชิ้นงานนี้ไปยังกลุ่มเป้าหมายยังไงให้มันตรงกลุ่มและก็ใช้เงินให้คุ้มค่ามากที่สุด

ตอนนั้นสมัยนั้นที่พี่ทำก็คืออยู่ในฝั่งของนักวางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ก็คือทั้งออฟไลน์ทั้งออนไลน์ ก็พอทำอยู่ในเอเจนซี่มาสักพักนึง จริงๆ พี่เป็นคนที่แบบว่าอยากทำเพจ อยากสร้างมานานแล้ว น่าจะเป็นเหมือนหลายๆ คน แล้วก็เคยทำอะไรไว้เยอะมากเลย คือถ้ากลับไปดูลิสต์ที่เพจที่เคยเปิดตอนนี้น่าจะมีแบบ 20 เพจน่าจะถึงเหมือนกัน มีแบบ ตอนนั้นเราก็เป็นคนชอบเที่ยว เป็นคนชอบกินก็เคยทำเราเคยชอบดูหนังเราก็ทำเพจรีวิวหนัง

แล้วก็คือพยายามทำพวกนี้มา มันจะมีอย่างนึงที่สำคัญมากๆ เลยเวลาทำเพจก็คือเรื่องความต่อเนื่อง แล้วบางอย่างเราก็ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น แต่ว่าเราก็เลยลองรู้สึกว่า เอ้ย จริงๆ แล้วตอนนั้นมันเกิดจากความบังเอิญเลยก็คือเหมือนเราเป็นคนที่ชอบขวนขวายหาความรู้ ชอบหางานโฆษณาใหม่ๆ ชอบติดตามเทรนด์ คือแบบว่าเป็นสายแบบว่า ฉันต้องหาความรู้ตลอดเวลา เดี๋ยวฉันตามโลกไม่ทัน เพราะมันจะมีคนที่บอกกับเราว่าแบบแค่เรายืนอยู่เฉยๆ มันก็เหมือนนับถอยหลังแล้ว เราเลยต้องหาอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด ซึ่งเวลาที่เราไปเห็นงานโฆษณาน่าสนใจ เห็นความรู้อะไรต่างๆ เราก็มักจะแชร์ใน Facebook ตัวเองแล้วก็ Private ไว้ น่าจะมีคนทำหลายคนเหมือนกัน

ตอนนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่คิดว่า มันน่าจะมีคนที่สนใจโฆษณาแบบเราบ้างดิ ก็เลยสร้างขึ้นมาเลยไม่ได้คิดอะไรมาก ก็สร้าง Ad Addict นี่แหล่ะคนที่แบบว่าฉันชอบเสพโฆษณา แล้วเราก็เริ่มเปลี่ยนจากการแชร์ใน Facebook ของเราเป็นการแชร์ไปที่นั่น ก็แบบแชร์ไปๆ มันก็เริ่มมีคนที่สนใจเหมือนเราจริงๆ แต่พอทำไปทำมาเราไปค้นพบอีกอย่างนึงว่า ทำไมตอนที่ฉันทำงานที่แรกๆ ตอนที่ฉันเป็นเด็กแท้ๆ ฉันต้องไปสอนผู้ใหญ่ มันแปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนในวงการเราคิดว่าเกิน 90% คือเราทำแต่งานโดยที่เรายังไม่ได้เพิ่มเติมความรู้ เราเลยรู้สึกว่าเราอาจจะต้องกลายเป็นคนๆ นึงที่ต้องช่วยเหลือเขาอะไรบางอย่าง แทนที่เราจะต้องมานั่งพูดสอนเค้าทุกครั้ง ถ้าเราสร้างเป็นที่นึงเราไปหาข้อมูลมาย่อยทำให้นำเสนอให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายได้เนี่ยมันก็น่าจะมีประโยชน์ให้กับคนในวงการนี้เหมือนกัน

หลังจากนั้นเราก็เลยเริ่มเหมือนย่อยข้อมูล สรุปข้อมูล ใช้ทักษะ ใช้เทคนิคที่เราเรียนรู้จากการทำงาน มานำเสนอให้มันมีประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น แล้วก็ค่อยๆ เติบโตมาเรื่อย ๆ ก็เติบโต เอาจริงๆ ค่อนข้างเร็วประมาณนึงเหมือนกัน คือถือว่ายังโชคดีว่าอยู่ในยุคที่แบบว่า มันอาจจะเป็นยุคสุดท้ายแล้วที่สามารถสร้าง Facebook Page ให้โตได้อยู่ เอาจริงๆ ต้องบอกว่าปัจจุบันมันยากมากเลยนะ การที่แบบจะสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบเพจหลักพันหลักหมื่น ยากจริงๆ ของเราคือตอนนั้นก็ฝ่าฟันมาจนถึงตอนนี้ก็มีคนตามเยอะประมาณหนึ่งนะครับ ก็เลยทำให้เราได้โอกาสหลายๆ อย่างมาเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นตอนนั้น”

โฆษณาที่ดี คือโฆษณาที่ต้องสื่อสารทั้ง Offline และ Online

“เรามองว่าจริงๆ แล้ว เอาในมุมของทั่วไปก่อนละกัน คือเราก็มองว่าจริงๆ แล้ว อย่างแรกเลยคือเรื่องดิจิตอล หลายคนจะชอบคิดว่าปัจจุบันโฆษณาต้องตามการสื่อสาร การตลาดฉันต้องมาอยู่ในดิจิตอล ดิจิตอลตลอด เอาจริงๆ เรารู้สึกว่ามันไม่จริง บางทีดิจิตอลอย่างเดียวอาจจะไม่ตอบโจทย์ก็ได้แล้ว เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันคืออยู่กับคน มันมีอันนึงที่เวลาได้รับเชิญไปสอนตามที่ต่างๆ เราก็จะบอกว่าต่อไปนี้มันจะไม่มีคำว่า Digital Marketing แล้วนะ แต่คือเราได้รับเชิญไปสอน Digital Marketing นะ ซึ่งมันจะกลายเป็นแค่คำ ๆ เดียวก็คือ Marketing เนี่ยแหล่ะ

เพราะว่าเวลาที่เราพูดถึงสื่อ อันนี้คือสื่อ อันนี้คือสื่อดิจิตอลนะ อย่าง Facebook หรือ YouTube ads / GDN Banner ในเว็บไซต์ นี่คือสื่อออนไลน์ แต่ว่าเราพูดถึงบิลบอร์ดบ้าง เป็นแบบ TVC หรือแบบอะไรต่างๆ เป็นสื่อออฟไลน์ เป็นสื่อ Original คนที่นิยามสิ่งพวกนี้มาเราว่ามันคือนักการตลาด ลองคิดว่าถ้าเป็นชีวิตเราจริงๆ ในฐานะที่เราเป็นคนๆ นึงเนี่ย เราไม่มีการมาแบ่งแยกหรอก ว่าตอนนี้ฉันกำลังดูสมาร์ทโฟน ฉันกำลังเสพสื่อดิจิตอลอยู่ ตอนนี้ฉันออกไปนอกบ้าน ฉันกำลังมองป้ายนี้ นี่ฉันกำลังเสพสื่อ TV Channel นะ

คือเรารู้สึกว่าตราบใดที่คนมันก็เป็นคน มันก็คือชีวิตของคนๆ นึง มันไม่ได้แยกอยู่ดีว่าอะไรคือสื่ออะไร สมมุติว่าจะทำโฆษณาให้มันตอบโจทย์ ปัจจุบันเราก็ต้องมองว่าอย่าคิดสื่อตั้งต้นว่าฉันจะลงในสื่อไหน แต่ว่าลองมาตั้งต้นที่คนดีกว่า ว่าคนๆ นึงเนี่ย เราจะสร้างประสบการณ์อะไรยังไงให้คนๆ นั้นที่เขาสามารถเข้าไปถึงคนๆ นั้นได้ แบบว่ามันจะมี 2 คีย์เวิร์ดก็คือ Connect แล้วก็ Personalized สิ่งต่างๆ ให้มันเหมาะกับเขา เราคิดว่าพวกนี้เป็นคีย์ที่สำคัญมากๆ ในโฆษณาปัจจุบัน

พอทำ Ad Addict เต็มตัวขึ้นมา แล้วมันทำให้เราได้ไปเปิดโลกอะไรใหม่ๆ โดยเราได้มีโอกาสไปที่ต่างประเทศ แล้วก็จะมีคีย์เวิร์ดที่คล้ายๆ กันเห็นอยู่บ่อยๆ เลย คืออย่างอันนึงก็คือต่อไปนี้เวลาที่เราพูดถึงการสื่อสาร มันจะไม่มีการทำโฆษณาอีกต่อไปในอนาคต แต่มันจะคือการสร้างประสบการณ์ คือการคิดสิ่งที่แบบว่าฉันจะทำ TVC มันอาจจะเริ่มหายไปมากขึ้นในโลกของเรา แบบว่าสิ่งที่ควรทำมากขึ้น มันควรจะต้องลองดูว่าเราจะสร้างประสบการณ์กันยังไง แล้วสร้างความรู้สึกคนยังไง จะสื่อสารยังไงให้คนเขารับรู้สิ่งที่แบรนด์อยากจะสื่อสารแล้วก็รู้สึกสอดคล้องกับฉัน ดังนั้น เรื่องของความคิดสร้างสรรค์มันเลยเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ เหมือนกันสำหรับคนในวงการนะครับ”

Data Driven จะเข้ามาช่วยเติมเต็มวงการโฆษณามากขึ้น?

“ถ้าพอพูดถึงภาพรวมวงการโฆษณา จริงๆ มันจะมีอย่างนึงที่สำคัญ แล้วก็เราน่าจะเห็นคำนี้บ่อยมาก ก็คือเรื่องของ Data อะไรต่างๆ เหมือนคนทำโฆษณาตอนนี้จะต้องหันมาใช้ชีวิตอยู่กับพวกข้อมูลต่างๆ มากขึ้นมากๆ เลย เหมือนสมัยก่อนเราอาจจะไปทำวิจัย ไปคุยกับคนต่างๆ แต่ว่าปัจจุบันนี้มันจะมีข้อมูลต่างๆ ที่มันอยู่ในทุกที่ สมมุติเราเป็นสื่อ เราก็มีข้อมูลหลังบ้านเหมือนกันว่าใน Facebook ของเรา ในเว็บไซต์ของเรา คนมีพฤติกรรมอะไรยังไงบ้าง? แทนที่จากเดิมเราอาจจะคิดเองเออเอง เราอาจจะต้องมาใช้ข้อมูลอะไรต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้น

ดังนั้นมันก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่คนทำโฆษณา นักการตลาดจะต้องคิดเยอะขึ้น เพราะมันจะซับซ้อนมากขึ้นมากๆ ด้วย แล้วก็เหมือนปัจจุบันนี้คืออย่างที่เราเห็น คนแบบมันเดายาก มนุษย์ดูเปลี่ยนไปตลอดเวลาเลย เราจะทำยังไงให้การสื่อสารของเรามันสามารถสอดคล้องกับคนๆ นั้น ณ ช่วงเวลานั้นๆ ให้ได้ คือมันจะมีคำนึงตอนนั้นเราเคยได้ยินมาแล้วเราชอบคำนี้มากเลย ก็คือ “คนเราไม่ได้ไม่ชอบโฆษณานะ เราแค่ไม่ชอบโฆษณาที่ไม่เกี่ยวกับเราเท่านั้นเอง” เราลองนึกดูถ้ามันมีโฆษณาที่แบบว่าตอนนั้นเราสนใจอยู่พอดี เราว่าเราก็พร้อมเปิดรับนะ”

จุดยืนชัด ภาพลักษณ์ชัด เท่ากับได้ไปต่อ

“อย่างแรกก็ต้องหาจุดยืนตัวเองให้ชัด ว่าจริงๆ เราเชื่อมั่นในอะไร อันนี้จริงๆ ทำได้สำหรับทุกแบรนด์เลยนะ เราจะเห็นได้ว่าแบรนด์ที่เจ๋งๆ เขาจะมีจุดยืนที่แบบมันจะมีความเชื่อ มันจะมีอะไรบางอย่างที่ชัดเจนมาก แล้วเราจะรู้สึกอินกับแบรนด์นี้ไปด้วย

ตัวอย่างเช่น Nike สมมุติปีที่แล้วมันมีแคมเปญนึงที่ Nike เขาได้รางวัลเยอะมาก Nike เขาออกโฆษณามาตัวหนึ่งที่เขาใช้นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ชื่อว่า “โคลิน แคเปอร์นิค” เป็นนักกีฬาฟุตบอลที่เป็นผิวสีที่เล่นอยู่ที่อเมริกา แล้วสิ่งที่เขาออกมาทำสมัยที่เขาเป็นนักกีฬาก็คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราจะเห็นกระแสว่าทรัมป์เขาต่อต้านว่าถ้าเธอไม่ใช่คนอเมริกาเธอออกไปจากประเทศฉันซะ แล้วโคลิน แคเปอร์นิค เขาก็เลยไม่สนับสนุนในแนวคิดนี้ เขาก็เลยคุกเข่าขณะที่เพลงชาติขึ้นก่อนลงสนามทุกครั้ง จนทำให้เค้าถูกไล่ออกจากวงการ แต่ Nike ดันหยิบเขามาเล่นเป็นพรีเซ็นเตอร์ในโฆษณานี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาอยากผลักดันให้ทุกคน ถ้าเชื่อมั่นในอะไรก็ตามให้ทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเสียทุกสิ่งไปก็ตาม ซึ่งมันก็ตอบกลับมาในโจทย์ที่ว่าแบบ Just do it ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

เรารู้สึกว่าการที่เราจะสร้างอะไรขึ้นมาอย่างแรกเลยก็คือ ต้องมีความเชื่อและสร้างอะไรที่มันชัดว่าเราเชื่ออะไร ลองกลับมาถามตัวเองอันนี้ก่อน แล้วเราก็คิดว่าการที่เราสร้าง Ad Addict ขึ้นมาได้ โอเค เราก็มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าจริงๆ แล้วโฆษณามันเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถหลีกหนีได้อยู่แล้ว แต่เราจะอยู่กับโฆษณายังไงให้มีความสุขกันมากขึ้น เห็นมุมมองใหม่ๆ  เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ เพราะเราเชื่อว่าทุกสิ่งในโลกเรารอบตัวเรา มันคือโฆษณาหมดเลย คือเรารู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเราสามารถเรียนรู้ได้ แล้วก็นำมาพัฒนาในการทำธุรกิจต่างๆ ได้ ซึ่งพอมันมีจุดยืนอะไรอย่างนี้แล้ว เราว่าสำคัญก็คือต้องหาข้อแตกต่างให้เจอ

เราคิดว่าเราน่าจะเป็นสื่อเจ้าแรกๆ ที่ว่าอยู่ดีๆ สำเนียงในการพูดของเราจะไม่จริงจัง คือมันก็เลยจะต้องค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่นมากๆ ในสมัยที่แบบเปิดมาแรกๆ เพราะว่ามันจะมาแบบเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน แต่ว่าตอนนี้เราก็คิดว่าสื่ออื่นๆ ก็เริ่มทำแล้ว คือเราว่าข้อดีอย่างนึงก็คือเราจะเห็นเลยว่าถ้าอะไรที่เราทำแล้วเวิร์ค เราจะโดนก็อป อันนี้เป็น Fact เลยว่าเราเห็นมาเยอะมาก สิ่งที่เราทำแล้วแบบก็มีเจ้าอื่นค่อยทำตามบ้าง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดเหมือนเราหรือตั้งใจก็อปอะไรก็ตาม

สำคัญก็คือเราต้องหาเหมือนทุกธุรกิจแหล่ะ ต้องหา Business model ให้ชัด จริงๆ อย่างของเราตอนนั้นที่บอกว่าจุดเริ่มต้นของเรามันเล็กๆ คือเราไม่เคยคิดจะทำมาเป็นธุรกิจเลย แต่วันนึงเราต้องมองมันเปลี่ยนไปแล้วว่า นี่มันไม่ใช่ Hobby แล้วนะ มันคืองานแล้วว่ะ เราออกมาเราจะปั้นมันขึ้นมาจริงๆ ละ เราต้องคิดจริงๆ ว่าเราจะทำยังไงให้สามารถหารายได้ได้ จะทำยังไงให้มันเติบโตต่อไป ทำยังไงให้มันดีกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ เราว่ามันเป็นสิ่งที่เอาจริงๆ สุดท้ายเราเลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคงไม่มีสูตรบอกได้ตายตัวว่าฉันจะทำยังไง ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ เพราะว่าอย่างของเราเองถือว่าเราจะเป็นนักวางแผนกลยุทธ์อะไรต่างๆ มาตลอด แต่ว่า Ad Addict เป็นสิ่งที่เราแทบไม่ได้วางแผนอะไรกับมันมากขนาดนั้น คือเราค่อนข้างลองผิดลองถูกกับมันมาเรื่อย ๆ จนเราเจอทาง

ดังนั้นเราก็คิดว่าต้องมีความเชื่อให้ชัดเจนก่อน หาจุดยืนให้ชัดว่าเราเป็นใคร อย่างที่สองหาความแตกต่างให้เจอ แล้วอย่างที่สามก็คือต้องมี Business model ที่ชัด แล้วก็พยายามสร้าง Value ถ้าสมมุติเรามี Value ให้กับคน เราเป็นสื่อ เราสร้างคุณค่าให้คนที่มาติดตามเราได้ ถ้าคนเค้าอยากติดตามเรา แปลว่าเราต้องมีโอกาสในการที่แบรนด์ต่างๆเขาก็จะสามารถมาซื้อโฆษณาเราต่อไปได้

แต่ความยากอย่างหนึ่งของสื่อ แล้วก็แล้วก็เป็นสิ่งที่เราพยายามย้ำมาตลอดก็คือความจริงใจเราจะเจอสื่อเยอะมากที่แบบว่าเนียนๆ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้บริโภคปัจจุบันแล้วหรือเปล่า เรารู้สึกว่าตอนนี้คนไม่ได้โง่แล้ว คนเขารู้หมดอยู่แล้วว่าคุณโฆษณาหรือเปล่า content นี้มันไม่ใช่สมัยก่อนว่าแบบ tie in อะไรเนียนๆ คือเรารู้สึกว่าปัจจุบันนี้สำคัญมากๆ คือไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารโฆษณา หรือการทำสื่ออะไรต่างๆ ความจริงใจก็เป็นอีกข้อนึงที่สำคัญเหมือนกัน แล้วก็มันอาจจะเป็นจุดนึงที่แบบ เออ มันก็เลยทำให้หลายคนหันมาสนใจในการซื้อสื่อของ Ad Addict หรือยังไงก็ตาม”

ทุกอาชีพต้องคิดต่อยอด และต้องคิดสร้างสรรค์

“พี่มองว่าทุกอาชีพทุกงานเลยต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่เฉพาะคนทำสื่อนะ คือเหมือนความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นพื้นฐานที่พี่เชื่อว่าทุกคนมีอยู่ในตัวเอง แค่เราหยิบมันมาใช้จริงๆ มากน้อยขนาดไหน เรามีโอกาสใช้มันมากหรือเปล่า เรากล้าใช้มันหรือเปล่า คืออย่างตอนสมัยเรียนพี่ก็เป็นคนที่อยากทำครีเอทีฟตลอดเลย แต่พอพี่ไปฝึกงานแล้วพี่ก็รู้สึกว่า คือ ฉันก็มีความคิดสร้างสรรค์ประมาณนึง แต่ว่าฉันอาจจะไม่ได้แบบหลุดหรือว่าไม่ได้แบบไปไกลขนาดครีเอทีฟเขา คือเราเลยรู้สึกว่าทุกงานมันยังไงก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เสมอ

แล้วอย่างบริษัทของเราที่ทำคือเราค่อนข้างอยากจะสนับสนุนทุกคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เราก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วความคิดสร้างสรรค์มันก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะสามารถทำได้ แล้วเราว่าถ้างานที่แบบน่าเบื่อมากๆ อย่างเช่น โปรแกรมเมอร์ เราคิดว่าแม้แต่โปรแกรมเมอร์หรือไอที ยังสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้เลย ตัวอย่างเช่น บางทีเรามองความคิดสร้างสรรค์ เราอาจจะมองมันว่ามันคือ Art เราจะคิดว่ามันคือศิลปะ แต่อันนี้ถ้าเป็นมุมเรานะ เราอาจจะลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ก็ได้ว่าความคิดสร้างสรรค์ มันไม่ใช่ Art เสมอไป แต่มันอาจจะเป็น Solution ก็ได้ คือความคิดสร้างสรรค์มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราหา Solution ใหม่ๆ ในการทำงานให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือถ้าเราไม่มีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ คนเราก็เป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว มันคงไม่มีการพัฒนาอะไรต่างๆ อย่างนี้ขี้นมาหรอก”

Content Creator

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า