fbpx

Beauty Standard ส่องวิวัฒนาการมาตรฐานความงามที่ไม่ควรมีมาตรฐาน

การประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปี 2021 เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมกับดาวดวงใหม่ที่เจิดจรัสบนเวทีนางงามปีนี้ แอน-ชิลี สก็อต-เคมมิส หญิงสาวลูกครึ่งไทยออสเตรเลียที่ครองใจกรรมการด้วยการตอบคำถามอันโดดเด่น และลบภาพจำความงามตามฉบับ Beauty Standard ด้วยความสวยแบบ Real Size Beauty ที่เรียกว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนนางงามปีนี้เป็นอย่างมาก

แต่เมื่อมีคนชอบย่อมมีคนตั้งคำถาม หลังการประกาศผลเพียงไม่นาน แอคเคาต์ทวิตเตอร์และสังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างและความงามของมิสยูนิเวิร์สคนล่าสุด ว่าเธอเหมาะสมเป็นตัวแทนไทยไปชิงมงกุฎมิสยูนิเวิร์สที่อิสราเอล ด้วยความสวยซึ่งไม่ตรงตามคาดหวังของสังคมหรือไม่

หลายครั้งที่สังคมมักให้ค่าความงามของผู้หญิงไม่เท่ากัน Beauty Standard หรือที่เราเรียกกันว่า มาตรฐานความงาม ถูกกำหนดทิศทางผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งสะท้อนภาพความเพียบพร้อมด้านความสวยตามที่สังคมต้องการ กลายเป็นภาพจำที่เราต่างปักป้ายและพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อพาตนเองเข้าไปอยู่บนมาตรฐานนั้น ถึงแม้ปัจจุบันสังคมไทยและสังคมโลกจะเริ่มตระหนักถึงความสวยที่แตกต่าง แต่การลบหรือเปลี่ยนมาตรฐานความสวยที่ถูกตั้งมานานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แต่หากเราย้อนกลับไปดูทิศทางของค่านิยมความสวย เราจะพบว่ามาตรฐานความงามเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่ในไทยหรือในเอเชีย แต่ควบรวมไปถึงประเทศทางฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นต้นอิทธิพลของโลกอีกด้วย เราจึงอยากพาคุณไปดูวิวัฒนาการความสวยในแบบที่สังคมชมชอบจากอดีต (อันไกลโพ้น) จนถึงปัจจุบัน จากยุคหินเก่าถึง 2021 ความงามที่สมบูรณ์ของผู้หญิงในโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ยุคหินเก่า (Paleolithic Era)

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นความงามซึ่งถูกสะท้อนผ่านงานประติมากรรม Venus of Willendorf เป็นสัญลักษณ์แทนความงามของผู้หญิงในช่วงแรกของโลก ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกับภาพจำในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เพราะหญิงสาวในยุคนั้นมักมีรูปร่างหนักไปทางอวบอ้วน หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย สื่อถึง ‘ร่างกายที่อุดมสมบูรณ์เหมาะกับการตั้งครรภ์’ ประติมากรรมดังกล่าวไม่ได้แกะสลักหน้าตาเอาไว้ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่า ร่างกายที่อุดมสมบูรณ์ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ

กรีซโบราณ (Ancient Greece)

ประติมากรรมในยุคกรีกและประวัติศาสตร์อันยาวนานสอนเราว่าการเกิดเป็นหญิง (ในยุค) นั้นยากลำบาก วลี Kalon Kakon ถูกสร้างขึ้นเพื่อระบุว่าความสวยนั้นเป็นบาป และเพราะเป็นคนบาปจึงเต็มไปด้วยความสวย ประติมากรรมหญิงสาวของกรีกจึงเป็นผู้หญิงสะโพกผาย หน้าอกใหญ่ มีหน้าท้องเล็กน้อยและมีแรงดึงดูดทางเพศสูง ใบหน้าของพวกเธอได้รับการกำหนดด้วยสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) จากเพลโต ก่อนจะถูกล้มล้างด้วยความงามที่สมมาตรของพิธากอรัส โดยการระบุว่า ‘ผู้หญิงสวยหน้าต้องมีความกว้าง 2/3 เท่าของความยาว และสมมาตรกันทุกส่วน’

ยุคเรอเนซองซ์ (Renaissance era)

ขึ้นชื่อว่าเรอเนซองซ์หมายถึงยุคทองของความงามทุกประเภท ศิลปินมากมายพยายามทลายขนบเก่าของความงามช่วงยุคกลางที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอันเคร่งครัด หญิงสาวในจิตรกรรมช่วงเรอเนซองซ์จึงถูกวาดออกมาในลักษณะ ‘เปลือยหน้าอกพร้อมสัญลักษณ์และแรงดึงดูดทางเพศ’ Birth of Venus จึงเป็นหญิงสาวผิวซีดขาว แต่แก้มแดง มีหุ่นเว้าโค้ง และใบหน้ากลม แสดงให้เห็นถึงค่านิยมของความงามที่ดีไม่ใช่เพียงความสมบูรณ์ของร่างกาย แต่เป็นความงามที่เร้าตัณหาของผู้พบเห็น

ยุคของควีนอลิซาเบธ (Elizabethan era)

การขึ้นครองราชย์ของควีนอลิซาเบธในปี 1558 ถือเป็น ‘ยุคแรกของการแต่งหน้า’ ใช้คำว่ายิ่งแต่งเต็มยิ่งดูดี ยิ่งผิวซีดยิ่งสูงศักดิ์ ชนชั้นสูงในยุคนั้นต้องแต่งหน้าให้ขาวด้วยแป้งพร้อมสีลิปสติกแดงฉูดฉาดตามแบบอย่างของควีนอลิซาเบธ พวกเขาเชื่อว่าความงามที่ดีคือความขาวซีดจากการอยู่ในที่ร่ม ไม่เหมือนสามัญชนซึ่งต้องทำงานกลางแดดทำให้มีผิวคล้ำ อีกทั้งลิปสติกสีแดงในความเชื่อตามการค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังหมายถึงการใช้เวทย์มนตร์ที่เหนือกว่าทุกสิ่งอีกด้วย

การปฏิวัติฝรั่งเศสจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 (French Revolution into the late 18th century)

ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสค่านิยมการแต่งหน้าของชายหญิงนั้นเท่าเทียมกัน คือคิดว่า ‘การแต่งหน้าเหมือนการใส่หน้ากาก’ ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในสังคม แต่หลังการปฏิวัติของประชาชนต่อเหล่าชนชั้นสูงในช่วงปี 1789 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 การแต่งหน้ากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หญิงสาวมากมายเลือกจะลดทอนขั้นตอนการใส่ชุดให้น้อยลงแต่เน้นสัดส่วนเพื่อให้ฝ่ายชายเกิดความหลงใหล เรียกว่าเป็นยุคที่เน้นความสวยงามมากขึ้น ผู้หญิงเริ่มแสดงออกซึ่งสัดส่วนตามเพศสภาพ

ยุควิคตอเรีย (Victorian era)

หนึ่งในยุคที่อันตรายที่สุดทั้งต่อสุขภาพกายและจิตใจของหญิงสาว ในยุควิคตอเรียความสวยงามทั้งหมดของผู้หญิงอยู่ที่ภาพลักษณ์ทั้งสิ้น ตั้งแต่กระโปรงบานพร้อมสุ่มและคอร์เซ็ทเพื่อให้ดูตัวเล็กอ่อนแอ หญิงสาวมากมายทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเธอดูเปราะบาง แต่น่ารัก น่าทะนุถนอมพร้อมให้ชายมากมายพุ่งตัวเข้ามาปกป้อง นอกจากนั้นในเครื่องสำอางของยุควิคตอเรียยังมีส่วนประกอบของตะกั่ว แอมโมเนีย ปรอทและพืชอันตรายมีพิษอย่างไนท์เชด (Nightshade) ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวอีกด้วย เรียกว่าเป็น ‘ยุคของความสวยที่มาพร้อมความอันตราย’ และพวกเธอก็เต็มใจซะด้วย

เริ่มศตวรรษใหม่ (Turn of the century)

ในปี 1890 หรือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ค่านิยมความงามหญิงสาวยุคใหม่ได้รับอิทธิพลจากภาพ Gibson Girl ของชาลส์ กิ๊ปสัน (Charles Gibson) สร้างภาพจำของหญิงสาว ‘ผอมบาง’ ใส่คอร์เซ็ทรัดรูปในชุดสั้นอวดเรือนร่าง ที่มีสะโพกผายและหน้าอกสวย แม้ภาพหญิงสาวคนดังกล่าวไม่มีตัวตนจริง แต่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับมาตรฐานความงามในยุคนั้นtอย่างมาก

1920’s หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

หลังผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หญิงสาวมากมายเลือกที่จะละทิ้งการใส่คอร์เซ็ทและรวบผมสูง เพราะพวกเธอได้รับอิทธิพลจากเพศชายทั้งด้านความงามและอำนาจ ‘มาตรฐานร่างกายที่ดีในตอนนั้นจึงเป็นแบบบอยอิช (Boyish)’ หญิงสาวร่างกายผอมตรง ไม่มีส่วนเว้าโค้ง ตัดผมสั้นสวมชุดที่เรียกว่าแฟลปปี้เดรส (ยุคเดียวกับศิลปะแบบ Art Deco และภาพยนตร์ the Great Gatsby) ซึ่งชุดมีความยาวเหนือเข่า เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเธอขยับและเต้นได้คล่องตัวมากขึ้น ค่านิยมนี้ลากยาวมาถึงช่วงต้นของยุค 20’s โดยเฉพาะความผอม ในสมัยก่อนมีเพียงผู้มีเงินในสังคมชนชั้นสูงเท่านั้น จึงจะสามารถซื้อกระจกเต็มบานเพื่อส่องดูรูปร่างของตนเองได้ หญิงสาวมากมายจึงแก้ปัญหาด้วยการพยายามผอมให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลกับภาพลักษณ์ของตน

30’s และ 40’s

ในช่วงปลายยุค 20’s ความคลั่งผอมเริ่มกลายเป็นโรคร้าย ผู้คนมากมายตระหนักถึงข้อเสียที่ตามมาด้านสุขภาพ ผนวกกับความอดยากหลังช่วงสงครามโลก หญิงสาวมากมายจึงต้องพยายามทำตัวให้ดูสุขภาพดีด้วยหุ่นที่ดูอวบอิ่มมากขึ้น เสื้อผ้าทั้งหลายถูกดัดแปลงจากเสื้อผ้าของผู้ชายให้รับกับรูปร่างของผู้หญิง สูทเริ่มมีการใช้ตัวเสริมไหล่ (จุดเริ่มต้นของแฟชั่นในยุค80’s) เป็นยุคที่ ‘ความยั่วยวนเป็นเรื่องเกินความคาดหวังและนอกเหนือความต้องการของสังคม’

50’s และตอนต้น 60’s

การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและความเจ็บปวดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไป ทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง ผู้หญิงมากมายจึงเริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากขึ้น ร่างกายแบบ ‘นาฬิกาทรายที่เอวคอด’ หน้าอกใหญ่สะโพกผายกลับมาได้รับความนิยม ภาพจำ Sex Symbol ของ มาริลีน มอนโรว์ในช่วง 50’s ถูกมองว่าเป็นความงามแบบ plus sized ทั้งที่ความเป็นจริงพวกเธอไม่ได้อ้วนเลย เพียงแค่มีหน้าอกเท่านั้น ในช่วงปลายของยุค 60’s มีการประกวด Miss Fat and Beautiful และสาวๆมากมายเริ่มเรียกตัวเองว่าเป็นคนอ้วน ทั้งที่พวกเธอตัวเล็กมากๆ แสดงถึงค่านิยมความผอมที่เริ่มเข้นข้นมากขึ้น

ช่วงปลายยุค 60’s ถึง 90’s

ในช่วงยุค 60’s วัฒนธรรมและบทบาททางเพศเริ่มเปลี่ยนแปลง การมีบ้านที่มั่นคง มีรถให้ขับและทำงานบ้านเป็นแม่บ้านที่ดีไม่ใช่ภาพจำของสตรีอีกต่อไป ภาพจำในยุค 50’s ถูกทำลายลงแทนที่ด้วยความผอมอย่างแท้จริง

70’s แม้เป็นช่วงที่อิสระทางความคิดของผู้หญิง แต่ความคลั่งผอมกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฟาร์ราห์ ฟอว์เซตต์ ที่เป็นภาพจำความงามคือตัวอย่างของหญิงสาวตัวเล็กมีหน้าอก แต่งหน้าแบบธรรมชาติและไว้ผมยาวซึ่งขัดกับยุคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

80’s จุดเริ่มต้นของยุคนางแบบ หญิงสาวถูกปักป้ายบนมาตรฐานความสวยแบบสูง ผอม ผิวแทน แต่เฟิร์มแบบนักกีฬา สะโพกต้องเล็กลงและหน้าอกใหญ่ อิทธิพลของนางแบบในสื่อทำให้สาวๆพยายามผอมลง ในขณะที่นางแบบนั้นยิ่งผอมกว่าคนปกติลงไปอีก

และเมื่อการคลั่งผอมเหมือนจะแย่ลงถึงขีดสุด เคท มอส (Kate Moss) จึงยิ่งเป็นภาพจำที่โว้กยกให้เป็นความงามของยุค เมื่อเธอมีหุ่นเว้าโค้งแต่ผอมและหน้าอกสวย พร้อมหน้าตาแบบเฟมินีนและเสน่ห์เต็มขั้น กลายเป็นตัวอย่างของนางแบบที่ผอมที่สุดและสวยที่สุดคนนึงในทุกยุคที่ผ่านมา

2010’s ถึงปัจจุบัน

เวลาล่วงเลยมาถึงยุคสมัยใหม่ที่สื่อและสังคมก้าวผ่านมาตรฐานความสวยงามอันแสนเจ็บปวด สู่ยุคที่ความหลากหลายทางความงามนั้นได้รับการยอมรับ หากคุณสังเกตในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มาตรวัดความสวยเกิดขึ้นจากความต้องการของฝ่ายชายเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันสื่อยังคงถ่ายทอดความงามด้วย Photoshop เพื่อให้ความสวยนั้นเพอร์เฟคที่สุด แต่หากมองย้อนกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์คุณจะเห็นว่ามาตรฐานความสวยนั้นเป็นเพียงความชอบที่ไม่มั่นคง หากร่างกายของคุณไม่ได้ ‘เพอร์เฟค’ ตามที่สังคมคาดหวัง อย่าโทษตัวเอง และจงโอบกอดความสวยงามในแบบของเราเอาไว้ ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างหรือหน้าตาแบบใด เชื่อเถอะทุกคนมีด้านที่สวยที่สุดเสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก thelist, Uffizi Gallery

Contributors

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า